ซุส เทพเจ้าสายฟ้า

ซุส เทพเจ้าสายฟ้า ราชาแห่งทวยเทพ อำนาจ ความขัดแย้ง และความรัก

ในตำนานเทพเจ้ากรีก ซุส เทพเจ้าสายฟ้า เป็นเทพเจ้าสูงสุด ผู้ครองบัลลังก์บนเขาโอลิมปัส เขาทรงมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือเหล่าทวยเทพทั้งปวง แต่กระนั้น ซุสก็ยังมีความขัดแย้งในตัวเองอยู่หลายประการ หลังจากปราบยักษ์เสร็จปราศจากเสี้ยนหนามใด ๆ แล้ว ซุสก็ขึ้นครองบัลลังก์รั้งอำนาจเต็มตลอด 3 ภพ คือสวรรค์ พิภพและบาดาล แต่ซุสก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพและทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่าย หาใช่ภาระเล็กน้อยไม่ เพื่อป้องกันการแก่งแย่งและกระด้างกระเดื่อง ซุสจึงจัดสรรอำนาจยอมยกให้เทพภราดรมีเอกสิทธิในการปกครองอาณาเขตดังนี้ โพไซดอน หรือ เนปจูน หรือ  ได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง ฮาเดส หรือ พลูโต   เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะรัส และแดนบาดาลทั้งหมดอันรัศมีของแสงอาทิตย์ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย ส่วนยูปิเตอร์ …

Continue reading
ตำนานเทพเจ้ากรีก

ตำนานเทพเจ้ากรีก ปฐมเหตุแห่งอุบัติของโลก

ตำนานเทพเจ้ากรีกเป็นตำนานที่เล่าขานถึงเรื่องราวของเทพเจ้า เทพี วีรบุรุษ และสัตว์ประหลาดในเทพปกรณัมกรีก ตำนานเหล่านี้ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษและได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของวัฒนธรรมกรีกโบราณ ตำนานเทพเจ้ากรีกมักสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ความศรัทธา และค่านิยมของชาวกรีกโบราณ ตัวอย่างเช่น ตำนานมักกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้ากับเหล่าอสูรร้าย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกลัวและความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติของชาวกรีกโบราณ นอกจากนี้ ตำนานยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวกรีกโบราณเชื่อว่าเทพเจ้ามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ตำนานเทพเจ้ากรีกมีเนื้อหาที่หลากหลายและน่าสนใจ เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นวรรณกรรม ศิลปะ และภาพยนตร์มากมาย ตำนานเทพเจ้ากรีกจึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่ยังคงได้รับการถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน ปฐมเหตุแห่งอุบัติของโลกนั้นปรากฏตามบทกวีของฮีสิออดกล่าวว่า ในกาลครั้งอดีตก่อนทวยเทพอุบัตินับยุคไม่ถ้วนมาแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายยังรวมอยู่ในกำพืดอันเดียว ซึ่งเป็นความว่างเปล่าอันปราศจากรูปเท่านั้น เรียกว่า เคออส (Chaos) เป็นความเวิ้งว้างมหึมาหาขอบเขตมิได้ ต่อมาอีกนับกัปป์ไม่ถ้วน โลกพิภพจึงผุดขึ้นเป็นประดุจฐานอันกว้างใหญ่ไพศาลเพื่อเป็นจอมมารดาของสิ่งทั้งมวล เรียกว่า จีอา (Gaea) หรือ จี (GE) …

Continue reading
จามเทวี ลำพูน

วรรณกรรมสองแคว ตอนที่ 6 เรื่อง นิทาน “จามเทวี”

วรรณกรรมสองแคว ตอนที่ 6 เรื่อง นิทาน “จามเทวี” วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตภาคเหนือตอนบนหรือล้านนาไทย วรรณกรรมเรื่องนั้นก็คือ “เรื่องเกี่ยวกับพระนางจามเทวี” ถ้าหากว่าเราจะไปอ่านหนังสือที่เป็นวรรณกรรมเรื่องนี้ ก็จะมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อ “จามเทวีวงศ์” ซึ่งเขียนเป็นภาษาไทยมีภาษาบาลีกำกับเอาไว้ด้วย ท่านที่เป็นพระภิกษุอ่านก็จะมีความพอใจ ส่วนท่านที่ไม่ทราบภาษาบาลีก็ไม่เป็นไรก็พออ่านได้ แต่ผมจะไม่กล่าวถึงเรื่องจามเทวีวงศ์ที่เป็นหนังสือเล่มนั้น จะกล่าวถึงจามเทวีวงศ์ที่เป็นวรรณกรรมของชาวบ้าน ที่ชาวบ้านเขาเล่าต่อกันมาจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ จังหวัดลพบุรีขึ้นไปจนถึง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องชาวบ้าน เพราะฉะนั้นหลายตอนอาจจะแตกต่างจากที่ปรากฏในหนังสือจามเทวีวงศ์ ในเรื่องจามเทวีวงศ์ เริ่มแรกที่สุดเล่าถึงว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ณ สถานที่แห่งนั้นพระพุทธเจ้าทรงฉันสมอ สมอ หรือ ลูกสมอ ทางภาคกลางเรียกว่า “สมอ” …

Continue reading

ว่านหางช้าง ต่างกับว่านดาบนารายณ์อย่างไร?

ก่อนที่จะว่าเรื่องว่านกันก็ขอเพิ่มเติมความรู้กันเกี่ยวกับฤกษ์หรือเวลาที่เหมาะที่จะทำการใดใดโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับว่าน ในส่วนที่เรียกว่า “เพชรฤกษ์”หากจะหาวันทำการให้กล้าแข็งอันจะเป็นเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เพิ่มอิทธิฤทธิ์สมความประสงค์ ควรเลือกวันและเวลาให้เหมาะสมกับการที่จะกระทำนั้นเถิด วันและเวลาที่ได้นำมาแจงให้ทราบ ณ ที่นี้ คือ วันอาทิตย์ ถึงวันเสาร์, ฤกษ์ตั้งแต่ฤกษ์ที่ ๑ ถึงฤกษ์ที่ ๒๗ การกำหนดว่าวันอะไร ฤกษ์อะไรกล้าแข็งนั้น ให้ดูในปฏิทินโหร โดยปรึกษาพระภิกษุที่มีความรู้ทางนี้ หรือปรึกษาโหรที่เป็นสมาชิกสมาคมโหรฯ วิชาโหราศาสตร์ไทย (ดวงชะตาไทย) ก็ได้ หากจะดูด้วยตนเอง ให้ไปหาซื้อปฏิทินโหรของอาจารย์ทองเจือ อ่างแก้ว มาเปิดดูโดยกำหนดวันที่ไว้ แล้วก็ไล่ไปจนใกล้เคียงกับวันที่ต้องการ อันนี้แบบหนึ่ง, อีกแบบหนึ่งก็คือเปิดไปจนกว่าจะเจอฤกษ์ที่ต้องการ คำว่า “เพชรฤกษ์” หมายถึงฤกษ์ที่กล้าแข็งประดุจเพชร เพราะเพชรเป็นที่สุดของความแข็งในกระบวนรัตนชาติทั้งหลาย โบราณจารย์ท่านจึงได้เลือกสรรไว้สำหรับกระทำการต่างอันเดี่ยวกับคุณไสยเวทวิทยา, สรรพมนตรา …

Continue reading
พระไพรสพ

พระไพรสพ เทพนิมิตแห่งพรรณพืช

พระไพรสพนั้นเป็นเทพเจ้าที่เป็นองค์แทนแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร นับเป็นคติแบบหนึ่งที่แตกต่างออกไปซึ่งโดยมากมักจะเเสดงรูปลักษณ์แทนด้วยเทวี หรือเทพเจ้าที่มีเพศเป็นหญิงซึ่งแสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นมาของเทพ เจ้าองค์นี้มีผู้พยายามนำมาเกี่ยวพันกับพระลักษมีเทวีที่เป็นชายาของพระวิษณุเทพ แต่จากหลักฐานบางประการทำให้เห็นว่า มาจากคติคนละส่วนกันแม้ว่า จะมีคำว่า “แม่โพสพ” เป็นคำไทยที่นิยมใช้มาแต่โบราณกาลก็ตาม ทางด้านพุทธศาสนา (การจัดเทพปกรณัมทางพุทธศาสนาจะแตกต่างจากพราหมณ์ที่แปลงตัวมาเป็นฮินดู) ความสำคัญของพระเป็นเจ้าทั้งแปดนี้มีผลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์มาก โดยจะเเสดงเทพนิมิตรเป็นลางบอกเหตุ ที่เรียกว่า อภิไทโพธิบาทว์ หรือพระคัมภีร์อิติหาสาศาสตร์ อักษรพจน์ที่บรรจุในคัมภีร์จะบอกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เทพเจ้าแสดงเหตุที่เรียกว่าอุบาทว์และการแก้อาถรรพ์เหล่านั้นให้กลับเป็นดีดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ขอแจ้งโดยวารบาลี ในพระคัมภีร์ อุบาทว์อุบัตินานา…….ถวายด้วยพระมนต์โอฬาร ในเวทยกิจมหันต์ อาจบำบัดโทษภยันต์ จัญไรภัยอัน จะมาทั้งปวงเหือดหาย พระมนต์อักษรจะหมาย ไว้ให้สืบสาย ดั่งนี้ในลักษณะพระมนต์.” (อักขระวิธีโบราณ) กำเนิดของพระไพสพนั้นไม่เด่นชัดในเรื่องตำนานดูจะปนกับเทพธิดาโพสพ จนคิดว่าเป็นองค์เดียวกันซ้ำยุคหลังๆยังอาจนับเอาว่าเป็นปางหนึ่งของ พระลักษมีเทวีชายาพระวิษณุเทพ แต่ก็เห็นเป็นคติที่ปรากฏในชั้นหลังๆ ที่ที่เริ่มปฏิวัติตนเองของพราหมณ์มาเป็นฮินดู …

Continue reading
การสร้างพระพุทธรูป

พระชัยวัฒน์

ประเพณีการสร้างพระพุทธรูปของชาวสยามมีมาช้านานและหลากหลายตามแต่ปราชญ์แห่งท้องถิ่นนั้นจะคิดประดิษฐ์จารีตประเพณีที่มีปรัชญาหรือแนวคิดทางพระพุทธศาสนาเป็นแก่นแกนของวัฒนธรรม พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์หรือสิ่งที่ทำให้น้อมใจนึกไปถึงคุณความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า“พุทธคุณ” ที่มีการแสดงไว้สามประการคือ ๑. พระบริสุทธิคุณ คือมีความบริสุทธิ์ของจิตอย่างยิ่งเป็นจิต บริสุทธ์ที่เข้าถึงต้นธาตุต้นธรรม ๒. พระกรุณาธิคุณ คือมีเจตจำนงค์ในการช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์อย่างยิ่งที่ไม่มีพระโพธิสัตว์องค์ใดจะมีได้เสมอเหมือนกล่าวกันว่า(มติเถรวาท)พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีแก่กล้าขนาดนิยตะโพธิสัตว์คือเที่ยงแท้ต่อการบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นอาจมีพระเมตตาบารมี(อยากให้เป็นสุข)ได้ใกล้เคียงหรือเสมอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แต่พระกรุณาบารมี(อยากช่วยให้พ้นทุกข์)นั้นมิอาจทัดเทียมน้ำพระทัยแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ๓. พระปัญญาธิคุณ คือความเลิศล้ำทางปัญญารู้แจ้งแทงตลอดทางมายาและสัจจะและยอดยิ่งในการมีพระปัญญาวินิจฉัยเทศนาธรรมะให้พระสาวกบรรลุตามได้ จะเห็นได้ว่าความหมายของ “พุทธคุณ” ที่แท้จริงนั้นแตกต่างจากความหมายหรือนัยของนักนิยมเครื่องรางของขลัง เพราะแท้ที่จริงพระพุทธคุณคือคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้แต่สิ่งที่เรียกว่า ฤทธิ อำนาจที่เกิดปาฏิหาริย์นั้น พระบรมศาสดามิได้ยกย่องว่าเป็นองค์คุณแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย       โดยอรรถะและพยัญชนะที่ไม่ควรทำสิ่งที่พระบรมศาสดาประสงค์ให้ผิดเพี้ยนไปจึงควรเรียกความศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏในเครื่องรางหรือแม้แต่ที่ปรากฏในพระพุทธรูปว่า “อิทธิคุณ” จึงจะเหมาะสมกว่าโดยไม่ทำให้เกิดสัทธรรมปฏิรูปแบบไม่ตั้งใจ พระพุทธศาสนานั้นเน้นแก่นเเท้คือความเข้าใจในชีวิตมีสุขด้วยการพ้นทุกข์แบบเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตมีใช่การยกย่องอำนาจฤทธิ์เดชที่เป็นของชั่วคราวไม่ยั่งยืนแต่หากแก่นของพระพุทธศาสนานั้นประเสริฐเลิศล้ำละเอียดจนปถุชนอาจมีมนสิการเข้าถึงได้ยากจึงจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “กระพี้ธรรม” ห่อหุ้มเพื่อบำรุงแก่นธรรมนั้นให้คงอยู่การสร้างพระเครื่องรางต่างๆมิใช่มติของพุทธศาสนาที่เป็นแก่นแท้โดยตรงแต่เป็นสิ่งที่ห่อหุ้มบำรุงเลี้ยง “แก่นธรรม”ด้วยการโยงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่ยังข้องอยู่ในโลกียวิสัยให้เกาะอยู่ที่ไตรสรณาคมอันเป็นเหตุสำคัญที่คอยชักจูงคนให้เข้ามาศึกษาพุทธศาสนาจนเข้าถึงแก่นธรรมแท้ได้ การสร้างพระเครื่องหรือพระพุทธรูปอาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้คนลุ่มหลงเพราะลูบคลำพระพุทธศาสนาอย่างผิดเป้าพุทธประสงค์ทั้งการหลงกับฤทธิอำนาจนั้นหรือลูบคลำอย่างในฐานะเหตุที่มาแห่งลาภสักการะกับอีกนัยหนึ่งเป็นการบำรุงเลี้ยงศรัทธาของพุทธศาสนิกมิให้เบี่ยงเบนออกนอกจารีตแห่งพุทธปรัชญาจนมีโอกาสบ่มเพาะบารมีของตนเองจนรู้เเจ้งเห็นจริงในธรรมะของพระศาสดาไดในที่สุด การสร้างพระพุทธรูปแม้ในพระบาลีมิได้กล่าวโดยตรงว่าเป็นเหตุแห่งบุญก็ตามแต่ก็มีประโยชน์ในการทำให้น้อมรำลึกถึงพุทธคุณที่แท้หากพิจารณาโดยถูกวิธีได้ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปนั้นจึงมาจากอำนาจแห่งเทวดาที่รักษาพระพุทธศาสนาบันดาลให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์นานาประการเพื่อยังศรัทธาของพุทธบริษัท ทั้งบางประการอาจเกิดจากพุทธบารมีที่เป็นเรื่องอจินไตยไม่อาจอธิบายตามวิสัยปุถุชนจากที่กล่าวถึง “พระพิไชยสงคราม”หรือพระโพธินิพพานห้ามสมุ(ทัย)ว่ามีอานุภาพเสริมสวัสดิมงคลแก่เจ้าของเป็นที่ประจักษ์มาแต่โบราณจึงเป็นประเพณีที่พุทธมามกะชนนิยมดำเนินตามสร้างพระบรรจุดวงชะตาโดยเปรียบเอาพระรูปแห่งองค์พระปฏิมาเป็นประดุจตัวถังของรถ การบรรจุดวงชะตาเปรียบเสมือนเครื่อง แรงศรัทธาคือน้ำมันพึงอภิปรายแสดงได้ว่า …

Continue reading

ทีเด็ด..ท้าวศรีสุดาจันทน์ พระมเหสีฝ่ายซ้ายในสมเด็จพระไชยราชาธิราช

จากเด็กหญิงผู้ถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวที่ทุกข์เข็ญ แต่เพราะเป็นเด็กที่มีความประหลาดมหัศจรรย์หลายๆ สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัว เกินกว่าที่เด็กหญิงคนอื่นๆ จะมีได้ จนเป็นที่ร่ำลือกันไปทั่ว ทำให้ชีวิตของเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งที่มีโชคชะตาจากต่ำสุด พุ่งทะยานขึ้นไปสู่ความสูงสุดที่ยิ่งกว่าความฝันใดๆ นับว่าเป็นบุญวาสนาของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเกิดมาท่ามกลางความยากจนเข็ญใจ ที่ต้องผันเปลี่ยนชีวิตไปอย่างไม่น่าเชื่อ และด้วยเหตุอัศจรรย์ที่เกิดกับนางทั้งหมดนี้ทำให้นางเกิดความเห็นผิดเป็นชอบนำไปสู่เรื่องทุรยศ กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของแผ่นดินสยาม นางเป็นหญิงที่ไม่มีหญิงใดเหมือน เป็นที่ต้องการของชายทั้งหลาย กล่าวกันว่าชายใดได้เห็นนางแล้ว จะไม่เกิดอารมณ์พิศวาสในกามารมณ์เป็นไม่มี ซึ่งทั้งรูปร่างและที่พิเศษคือความหอมที่มิได้เกิดจากการประทินหรือตกแต่งด้วยสิ่งหอมแต่ประการใด นางผู้นั้นก็คือ    สมเด็จพระแม่อยู่หัวจ้าว นางพญาท้าวศรีสุดาจันทน์ แต่เดิมนั้นพระนางชื่อ บัวผัน เป็นบุตรทุกขะตะคนเข็ญใจ ไร้ญาติพี่น้อง ไม่มีทั้งทรัพย์สมบัติใด พอมีพอกินไปวันๆ บ้านของบิดามารดาอยู่ที่นาเกลือ บ้านสาขลา อยู่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นกับเมืองพระประแดง (ปัจจุบัน คือ จังหวัดสมุทรปราการ) เมื่ออำแดงบัวผันเกิดนั้นก็มีปรากฎการณ์ที่ไม่เป็นมงคล เพราะว่าในช่วงเวลาที่อำแดงบัวผัน …

Continue reading

ประวัติการสร้างสมเด็จวัดระฆัง

 พระเครื่องเป็นศาสตร์และศิลป์ที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน คนสมัยก่อนมักนำบรรจุกรุไว้ดำรงซึ่งพระพุทธศาสนา ต่อมาอีกไม่นานเมื่อถึงกาลกรุแตก คนที่เชื่อเกี่ยวกับความขลังของพระเครื่องก็จะเก็บไป เมื่อกรุแตกแรกพระราคาองค์ละไม่ถึงบาท มีเป็นปิ๊ปๆ ปัจจุบันพระกรุที่มีอายุน้อยแต่ราคามากอันนี้เองที่กำลังจะกล่าวถึง จนได้รับการขนานนามว่าจักรพรรดิพระเครื่องคือ พระสมเด็จแห่งวัดระฆังโฆษิตาราม เป็นพระเครื่องลักษณะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ต่อมาพระเครื่องลักษณะนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ดังเช่นพระสมเด็จจิตรลดาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จขาโต๊ะ พระตระกูลสมเด็จมีด้วยกัน3รุ่นคือสมเด็จระฆัง บางขุนพรหม เกศไชโย ความศักดิ์สิทธิ์ของพระสมเด็จองค์นี้ ครั้งแรกคงสู้พระชุดกิมตึ๋งไม่ได้ แต่เมื่อนำพระมาสรงน้ำแล้วสามารถรักษาโรคได้ ทำให้ความนิยมองค์พระสมเด็จมีมากขึ้นป็นลำดับ จนมีการจัดชุดพระเบญจภาคี พระสมเด็จซึ่งมีอายุ130ปี เป็นชุดที่มีอายุน้อยที่สุดในชุดนี้เพราะพระรอดมีอายุมากกว่า1000ปี อีกทั้งการซื้อขายพระสมเด็จวัดระฆังนี้ดุเดือดมาก เคยบันทึกว่าเป็นพระที่มีราคาสูงที่สุดถึง 40 ล้านบาทเลยทีเดียว ก่อนที่เราจะรู้จักกรรมวิธีการสร้างพระสมเด็จอันลือลั่น และมีความศักดิ์สิทธิ์ด้านเมตตามหานิยม อีกทั้งยังคงกระพันด้วย จากการบอกกล่าวหลายๆอย่างเช่น ผู้ที่อมพระสมเด็จแล้วถูกยิงไม่ตาย เป็นต้น ก่อนอื่นเราควรรู้จักผู้สร้างพระสมเด็จซึ่งทุกคนต้องรู้จักดีสำหรับเจ้าพระคุณผู้สร้างนี้    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ …

Continue reading

อาร์คิมีดิส

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้วบนแผ่นดินเซอราคิวส์ ที่ตั้งของประเทศกรีซใน ปัจจุบัน นักคณิตศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องท่านหนึ่งได้คิดทฤษฎีว่าด้วยรูปทรง ปริมาตร ดวงดาว และกลศาสตร์ ต่างๆ มากมาย เวลาที่ผ่านเนิ่นนานมา ค่อยๆ ย่อยทำลายประวัติอันน่าสนใจของท่านจนเหลือเพียงเรื่องราวของ นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ร้อง “ยูเรก้า” แล้ววิ่งแจ้นมาจากโรงอาบน้ำ เพื่อพิสูจน์มงกุฎทองคำของพระราชา ใครๆ คงรู้จักชื่อของอาร์คิมีดิสดี นักคณิตศาสตร์ท่านนี้มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 290 ปีก่อนคริสตกาล (ราว พ.ศ. 253) ในนครเซอราคิวส์ (Syracuse) อันเป็นนครรัฐใหญ่แห่งหนึ่งแถบซิซิลี และมีความสนิทสนมกับกษัตริย์ไฮเออโรที่ 2 ความปราดเปรื่องของอาร์คิมีดิสมีมากมาย ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกัน การโจมตีจากพวกโรมันเมื่อ 213 ปีก่อนคริสตกาล …

Continue reading
ดนตรีประกอบการแสดงโขน

เพลงไทยเดิม

การผสมวงดนตรีนั้นมีหลักที่สำคัญอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น คือ ๑. เครื่องสำหรับทำลำนำ ๒. เครื่องสำหรับบังคับจังหวะ เครื่องส่วนที่สำหรับทำลำนำนั้น ก็ยังมีหน้าที่แตกต่างออกไปอีก เช่น เป็นผู้นำ เป็นผู้ทำความโหยหวน เป็นผู้หลอกล่อ เป็นผู้แทรกแซงเหล่านี้ เครื่องส่วนที่สำหรับบังคับจังหวะ เพื่อให้เครื่องที่ทำลำนำดำเนินไปโดยพร้อมเพรียงกันนั้น ก็ยังมีหน้าที่ต่างๆกันอีกเหมือนกัน คือ เดินจังหวะโดยตรงห่างๆ เดินจังหวะย่อยให้รู้จังหวะหนักเบา หลอกล้อในจังหวะ ควบคุมจังหวะใหญ่ๆ เป็นประโยค วรรคตอน ดังนี้ นอกจากจะวางหน้าที่ต่างๆแล้ว การที่จะผสมวงดนตรียังต้องพิจารณาถึงเสียงของเครื่องดนตรีนั้นๆอีก ว่าถ้าผสมกันเข้าแล้ว จะมีความไพเราะกลมกลืนกันหรือไม่ ข้อนี้เป็นข้อสำคัญมากสำหรับการผสมวง เมื่อมีสิ่งที่เสียงสูง ก็ต้องมีสิ่งที่เสียงต่ำ เมื่อมีสิ่งใดที่เสียงแหลม ก็ต้องมีสิ่งที่เสียงนุ่มนวลประกอบ …

Continue reading
กลองยาว

เพลงพื้นเมือง: เสียงที่สร้างรักษาวัฒนธรรมและเชื่อมโยงคนในท้องถิ่น

คำว่า “เพลง” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแปลไว้ว่า ลำนำ, ทำนอง, คำขับร้อง, ทำนองดนตรี, กระบวนวิธีรำดาบรำทวน, ชื่อการร้องแก้กันมีชื่อต่างๆ เช่น เพลงปรบไก่ เพลงฉ่อย เป็นต้น ถ้าจะเลือกคำแปลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะอธิบายครั้งนี้ ก็มีแต่คำว่า ลำนำ, ทำนอง, คำขับร้อง และชื่อการร้องแก้กัน อันมีชื่อต่างๆนั้นเท่านั้น คำที่ขับร้องก็ดี การร้องแก้กันก็ดี ย่อมมีลำนำ และทำนองผสมอยู่แล้ว จึงจะนับว่าเป็นเพลง ถ้ามีแต่เพียงคำขับร้องแก้กันโดยไม่มีลำนำ ทำนอง คือเสียงที่ประดิษฐ์ให้มีความสั้นยาวเบาแรง และสูงๆต่ำๆสลับสับสนกันแล้ว ก็จะเป็นเพลงไปไม่ได้ นี่เป็นของธรรมดา และยิ่งกว่านั้นยังจะต้องมีจังหวะเป็นเครื่องควบคุมเพลงด้วยอีกอย่าง จึงจะครบองค์ของเพลง ส่วนเพลงที่เรียกว่าเพลงพื้นเมือง หมายถึงเพลงของชาวบ้านในท้องถิ่นต่างๆ …

Continue reading
ลำตัด

ลำตัด

ลำตัด เป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคกลางอย่างหนึ่ง ประกอบไปด้วยผู้แสดงฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงฝ่ายละประมาณสองถึงสามคน นิยมแสดงตั้งแต่หัวค่ำจนถึงค่อนรุ่ง ในลักษณะยิ่งดึกยิ่งสนุก ตอนหัวค่ำจะเล่นกลอนหักข้อรอ (เมื่อถึงคำหยาบจะหยุดหรือเว้น คำหยาบ) ตอนดึกจะเล่นกลอนเนื้อแดง (เมื่อถึงคำหยาบที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศจะใช้คำตรง ๆ) การแต่งกายของผู้แสดง มักใส่เสื้อแบบไทยโบราณ มีลายดอกสีฉูดฉาด นุ่งโจงกระเบน ทำนองกลอนของลำตัดจะสัมผัสตัวสุดท้ายของวรรคที่สอง ร้องโต้ตอบกันด้วยไหวพริบใช้ถ้อยคำ ที่มีความหมายสองแง่สองง่าม และมีลูกคู่อีกสามสี่คนคอยร้องรับ ปัจจุบัน ลำตัดมีการแสดงเป็นอาชีพอยู่ตามจังหวัดต่างๆในภาคกลาง เช่น อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ดนตรีประกอบการแสดง กลองรำมะนา ๒–๓ใบ และฉิ่ง

Continue reading
การแสดงหุ่นไทย

การแสดงหุ่นไทย

สมัยอยุธยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด ที่กล่าวถึงการเล่นหุ่นในประเทศไทย คือ จดหมายเหตุของบาทหลวงตาชาร์ต ผู้เป็นราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส ที่เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ และจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ผู้เป็นอัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ซึ่งเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) จดมายเหตุทั้ง ๒ ฉบับได้บันทึกถึงการเล่นหุ่น เอกสารดังกล่าวทำให้สันนิษฐานได้ว่า การแสดงหุ่นอาจเกิดก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้มีการแสดงเรื่อยมา แต่จะเป็นรัชสมัยของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดไม่มีหลักฐานยืนยัน หรือการแสดงหุ่นอาจเกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สืบค้นได้ในเวลานี้ จึงจำเป็นต้องถือว่า ได้มีการแสดงหุ่นตั้งแต่ พ.ศ. …

Continue reading
ลิเกทรงเครื่อง

ลิเกทรงเครื่อง

ลิเกทรงเครื่อง ๑. สถานที่แสดง แต่โบราณมาก็คงเป็นรูปแบบเดียวกับโรงละครใน ละครนอก คือมีฉากตายตัว ซึ่งมีประตูเข้าออก ๒ ข้าง มีเตียงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งหน้าฉาก ๑ เตียง ผ้าฉากอาจเป็นลายอย่างผ้าม่านหรือเป็นภาพเขียน เช่น ภาพท้องพระโรง เป็นต้น ๒. การรำ ลิเกทรงเครื่องต้องใช้ศิลปการรำเหมือนกันกับละคร เพราะในการแสดง จะต้องรำเพลงหน้าพาทย์ รำใช้บท เช่นเดียวกับละคร แต่ว่าความมุ่งหมายของลิเกคือ ต้องดำเนินเรื่องให้รวดเร็วอย่างหนึ่ง กับให้แลดูแปลกตาจากละครอย่างหนึ่ง ท่ารำจึงมักตัดทอนลงบ้าง ดัดแปลงให้เป็นเชิงกล้องแกล้งพริ้งเพราไปบ้าง เช่น ท่าเชิดของลิเก มักจะย่อเข่าลงมากกว่าละคร ท่าเชิดแบบนี้ นายสังวาลย์ พระเอกลิเกรุ่นเล็กมีชื่อ ของ …

Continue reading
ลิเก

ลิเก: การแสดงที่เดินทางและวิวัฒนาการมาจากภาคใต้

ลิเก เป็นการแสดงที่ได้วิวัฒนาการมาจากการแสดงของภาคใต้ โดยชาวไทยมุสลิมมีผู้แสดงทั้งหญิงและชายแต่งกาย เป็นตัวละครตามเรื่องที่เล่นตรงกลางเวทีจะขึงฉากตามท้องเรื่องตัวละครจะร้องและร่ายรำไปตามบทร้องและทำนองเพลง เมื่อร้องจบท่อนหนึ่งวงปี่พาทย์ก็จะรับครั้งหนึ่งสลับกันไป ขณะที่ร้องจะมีตะโพนเป็นตัวให้จังหวะ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องจักรๆวงศ์ๆ อิจฉาริษยา ผัวเมีย ผัวมีเมียน้อย ปัจจุบันลิเกได้มีการพัฒนาโดยมุ่งเน้นระบบแสง เสียง ฉาก เครื่องแต่งกาย มีการใช้ดนตรีสากลเข้ามาผสมแต่ ยังคงปี่พาทย์ไว้เป็นหลัก ทุกวันนี้ลิเกได้รับความนิยมลดน้อยลง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ การแสดง “ดิเก” ของชาวมลายูเป็นแบบนำให้ศิลปินของชาวไทยนำมาแสดงบ้าง โดยใช้เพลงบันตนของมลายูเป็นหลัก และคิดต่อเติมแทรกคำไทยระคนเข้าไป แต่ก็คงใช้รำมะนาตีประกอบอยู่ตามรูปเดิม เมื่อได้โหมโรง และร้องเพลงบันตนตามสมควรแล้ว ก็เริ่มแสดงออกเป็นชุดต่างๆ โดยมากมักเป็นชุดต่างภาษา แต่จะต้องเริ่มด้วยชุดภาษาแขกก่อนภาษาอื่นเสมอ เช่น ชุด แขกรดน้ำมนต์เป็นต้น การแสดงจะมีตัวแสดงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าไปตามภาษานั้นๆ …

Continue reading