กลองยาว

เพลงพื้นเมือง: เสียงที่สร้างรักษาวัฒนธรรมและเชื่อมโยงคนในท้องถิ่น

คำว่า “เพลง” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแปลไว้ว่า ลำนำ, ทำนอง, คำขับร้อง, ทำนองดนตรี, กระบวนวิธีรำดาบรำทวน, ชื่อการร้องแก้กันมีชื่อต่างๆ เช่น เพลงปรบไก่ เพลงฉ่อย เป็นต้น ถ้าจะเลือกคำแปลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะอธิบายครั้งนี้ ก็มีแต่คำว่า ลำนำ, ทำนอง, คำขับร้อง และชื่อการร้องแก้กัน อันมีชื่อต่างๆนั้นเท่านั้น คำที่ขับร้องก็ดี การร้องแก้กันก็ดี ย่อมมีลำนำ และทำนองผสมอยู่แล้ว จึงจะนับว่าเป็นเพลง ถ้ามีแต่เพียงคำขับร้องแก้กันโดยไม่มีลำนำ ทำนอง คือเสียงที่ประดิษฐ์ให้มีความสั้นยาวเบาแรง และสูงๆต่ำๆสลับสับสนกันแล้ว ก็จะเป็นเพลงไปไม่ได้ นี่เป็นของธรรมดา และยิ่งกว่านั้นยังจะต้องมีจังหวะเป็นเครื่องควบคุมเพลงด้วยอีกอย่าง จึงจะครบองค์ของเพลง ส่วนเพลงที่เรียกว่าเพลงพื้นเมือง หมายถึงเพลงของชาวบ้านในท้องถิ่นต่างๆ …

Continue reading
ลำตัด

ลำตัด

ลำตัด เป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคกลางอย่างหนึ่ง ประกอบไปด้วยผู้แสดงฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงฝ่ายละประมาณสองถึงสามคน นิยมแสดงตั้งแต่หัวค่ำจนถึงค่อนรุ่ง ในลักษณะยิ่งดึกยิ่งสนุก ตอนหัวค่ำจะเล่นกลอนหักข้อรอ (เมื่อถึงคำหยาบจะหยุดหรือเว้น คำหยาบ) ตอนดึกจะเล่นกลอนเนื้อแดง (เมื่อถึงคำหยาบที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศจะใช้คำตรง ๆ) การแต่งกายของผู้แสดง มักใส่เสื้อแบบไทยโบราณ มีลายดอกสีฉูดฉาด นุ่งโจงกระเบน ทำนองกลอนของลำตัดจะสัมผัสตัวสุดท้ายของวรรคที่สอง ร้องโต้ตอบกันด้วยไหวพริบใช้ถ้อยคำ ที่มีความหมายสองแง่สองง่าม และมีลูกคู่อีกสามสี่คนคอยร้องรับ ปัจจุบัน ลำตัดมีการแสดงเป็นอาชีพอยู่ตามจังหวัดต่างๆในภาคกลาง เช่น อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ดนตรีประกอบการแสดง กลองรำมะนา ๒–๓ใบ และฉิ่ง

Continue reading
การแสดงหุ่นไทย

การแสดงหุ่นไทย

สมัยอยุธยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด ที่กล่าวถึงการเล่นหุ่นในประเทศไทย คือ จดหมายเหตุของบาทหลวงตาชาร์ต ผู้เป็นราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส ที่เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ และจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ผู้เป็นอัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ซึ่งเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) จดมายเหตุทั้ง ๒ ฉบับได้บันทึกถึงการเล่นหุ่น เอกสารดังกล่าวทำให้สันนิษฐานได้ว่า การแสดงหุ่นอาจเกิดก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้มีการแสดงเรื่อยมา แต่จะเป็นรัชสมัยของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดไม่มีหลักฐานยืนยัน หรือการแสดงหุ่นอาจเกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สืบค้นได้ในเวลานี้ จึงจำเป็นต้องถือว่า ได้มีการแสดงหุ่นตั้งแต่ พ.ศ. …

Continue reading
ลิเกทรงเครื่อง

ลิเกทรงเครื่อง

ลิเกทรงเครื่อง ๑. สถานที่แสดง แต่โบราณมาก็คงเป็นรูปแบบเดียวกับโรงละครใน ละครนอก คือมีฉากตายตัว ซึ่งมีประตูเข้าออก ๒ ข้าง มีเตียงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งหน้าฉาก ๑ เตียง ผ้าฉากอาจเป็นลายอย่างผ้าม่านหรือเป็นภาพเขียน เช่น ภาพท้องพระโรง เป็นต้น ๒. การรำ ลิเกทรงเครื่องต้องใช้ศิลปการรำเหมือนกันกับละคร เพราะในการแสดง จะต้องรำเพลงหน้าพาทย์ รำใช้บท เช่นเดียวกับละคร แต่ว่าความมุ่งหมายของลิเกคือ ต้องดำเนินเรื่องให้รวดเร็วอย่างหนึ่ง กับให้แลดูแปลกตาจากละครอย่างหนึ่ง ท่ารำจึงมักตัดทอนลงบ้าง ดัดแปลงให้เป็นเชิงกล้องแกล้งพริ้งเพราไปบ้าง เช่น ท่าเชิดของลิเก มักจะย่อเข่าลงมากกว่าละคร ท่าเชิดแบบนี้ นายสังวาลย์ พระเอกลิเกรุ่นเล็กมีชื่อ ของ …

Continue reading
ลิเก

ลิเก: การแสดงที่เดินทางและวิวัฒนาการมาจากภาคใต้

ลิเก เป็นการแสดงที่ได้วิวัฒนาการมาจากการแสดงของภาคใต้ โดยชาวไทยมุสลิมมีผู้แสดงทั้งหญิงและชายแต่งกาย เป็นตัวละครตามเรื่องที่เล่นตรงกลางเวทีจะขึงฉากตามท้องเรื่องตัวละครจะร้องและร่ายรำไปตามบทร้องและทำนองเพลง เมื่อร้องจบท่อนหนึ่งวงปี่พาทย์ก็จะรับครั้งหนึ่งสลับกันไป ขณะที่ร้องจะมีตะโพนเป็นตัวให้จังหวะ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องจักรๆวงศ์ๆ อิจฉาริษยา ผัวเมีย ผัวมีเมียน้อย ปัจจุบันลิเกได้มีการพัฒนาโดยมุ่งเน้นระบบแสง เสียง ฉาก เครื่องแต่งกาย มีการใช้ดนตรีสากลเข้ามาผสมแต่ ยังคงปี่พาทย์ไว้เป็นหลัก ทุกวันนี้ลิเกได้รับความนิยมลดน้อยลง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ การแสดง “ดิเก” ของชาวมลายูเป็นแบบนำให้ศิลปินของชาวไทยนำมาแสดงบ้าง โดยใช้เพลงบันตนของมลายูเป็นหลัก และคิดต่อเติมแทรกคำไทยระคนเข้าไป แต่ก็คงใช้รำมะนาตีประกอบอยู่ตามรูปเดิม เมื่อได้โหมโรง และร้องเพลงบันตนตามสมควรแล้ว ก็เริ่มแสดงออกเป็นชุดต่างๆ โดยมากมักเป็นชุดต่างภาษา แต่จะต้องเริ่มด้วยชุดภาษาแขกก่อนภาษาอื่นเสมอ เช่น ชุด แขกรดน้ำมนต์เป็นต้น การแสดงจะมีตัวแสดงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าไปตามภาษานั้นๆ …

Continue reading
โขน รามเกียรติ์

เรื่องที่ใช้แสดงโขน

เรื่องที่ใช้สำหรับเล่นโขนตามที่รู้จักกันแพร่หลายมาจนปัจจุบันนี้คือ “รามเกียรติ์” ซึ่งมีหลายสำนวนด้วยกัน ทั้งไทย ชวา เขมร และอินเดียซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเรื่อง เรื่องรามเกียรติ์หรือรามายณะนี้แต่งโดยพระฤาษีวาลมิกิ เมื่อหลายพันปีก่อน ชาวอินเดียจะมีความเคารพนับถือมาแต่สมัยโบราณกันว่าผู้ใดได้อ่านหรือฟังเรื่อง “รามเกียรติ์” ก็สามารถล้างบาปได้ เรื่องรามเกียรติ์หรือรามายณะเป็นเรื่องราวของพระนารายณ์ที่อวตารปางหนึ่งเป็น “พระราม” เพื่อคอยปราบอสูรที่คอยเบียดเบียนเหล่าเทวดา และมนุษย์ให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ สงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ซึ่งเป็นพญายักษ์ครองกรุงลงกา เกิดจากทศกัณฐ์ไปลักพานางสีดามเหสีของพระรามมาเพื่อเป็นชายาของตนเอง พระรามและพระอนุชาคือพระลักษณ์จึงได้ออกติดตาม จนกระทั่งได้สองพญาวานรคือพญาสุครีพเจ้าเมืองขีดขิน และท้าวมหาชมพูเจ้าเมืองชมพูมาเป็นบริวาร โดยมีหนุมานเป็นทหารเอก กองทัพของพระรามจึงจองถนนข้ามทะเลไปสร้างพลับพลา และตั้งค่ายประชิดกรุงลงกาเพื่อทำศึกกับทศกัณฐ์ จนกระทั่งฝ่ายพระรามได้รับชัยชนะ การแสดงเบิกโรง “นารายณ์ปราบนนทุก” นี้เป็นการแสดงเบิกโรงชุดหนึ่งก่อนการแสดงโขน ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในเรื่อง “นารายณ์สิบปาง” กล่าวถึงนนทุกมีหน้าที่ล้างเท้าให้เทวดา นางฟ้า ที่กำลังจะเดินทางไปเฝ้าพระอิศวรผู้ประทับอยู่บนยอดเขาไกรลาศ เหล่าเทวดานางฟ้าเหล่านั้นชอบหยอกล้อนนทุกโดยการเขกศีรษะจนนนทุกหัวล้าน นนทุกจึงไปเฝ้าพระอิศวรเพื่อขอพรให้ตนเองมีนิ้วเพชร …

Continue reading
โขน

ความลึกลับของกิริยาท่าทางในการรำโขน: สื่อความหมายและงดงามในศิลปะการแสดง

กิริยาท่าทางของโขนที่แสดงเพื่อสื่อความหมายกับผู้ชมนั้นแบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ ท่าที่ใช้แทนคำพูด เช่น เรียก สั่ง ท่าที่ใช้แสดงกิริยาอาการ เช่น ยืน นอน นั่ง เดิน เหาะ ท่าที่ใช้แสดงถึงอารมณ์ภายใน เช่น รัก โกรธ เกลียด ดีใจ เศร้าโศก ในทางนาฏศิลป์ การดัดแปลงท่าทางจากกิริยาที่กล่าวมา จำเป็นที่จะต้องให้การรำออกมาดูสง่า และงดงามด้วย ทุกท่าต้องมีความหมายเช่นเดียวกับภาษาพูด การที่โขนต้องรำไปตามบทพากย์ และเจรจา จึงจำแนกการรำของโขนออกเป็น ๒ ชนิด คือ ๑. รำหน้าพาทย์ …

Continue reading
บทพากย์ เจรจา โขน

บทพากย์ เจรจา และการขับร้องประกอบโขน

บทพากย์ เนื่องจากการแสดงโขนจะต้องสวมหัวโขนปิดหน้า จึงต้องมีผู้ร้อง และเจรจาแทนตัวโขน บทพากย์เป็นบทประพันธ์ประเภทกาพย์ มีทั้งกาพย์ยานี และกาพย์ฉบัง เมื่อพากย์จบไปบทหนึ่งก็จะตีตะโพนรับ และกลองทัดตีตาม แล้วลูกคู่ร้องรับด้วยคำว่า “เพ้ย” พร้อมๆกัน บทพากย์โขนแบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ ๑. พากย์เมืองหรือพากย์พลับพลา ใช้พากย์ตอนผู้แสดงออกท้องพระโรงหรือออกพลับพลา ๒. พากย์รถ พากย์รถนี้จะรวมถึงการพากย์ช้าง และพากย์ม้าด้วย ใช้ในกรณีที่ผู้แสดงออกรบ อาจจะทรงรถ ทรงม้าหรือทรงช้างก็ได้ ๓. พากย์ชมดง ใช้ในโอกาสชมนกชมไม้ โดยใช้เพลงชมดงใน มีเครื่องดนตรี คือ ตะโพน และฉิ่งประกอบจังหวะ ๔. …

Continue reading
ดนตรีประกอบการแสดงโขน

เสียงโขนสุดเฟื่องฟู วงพิณพาทย์แห่งเทวดา ดนตรีประกอบการแสดงโขน

วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขน ได้แก่ วงปี่พาทย์ (บางทีก็เรียก “พิณพาทย์”) ซึงประกอบไปด้วย ปี่ ระนาด ฆ้อง กลอง ตะโพน บางสมัยก็จัดเป็นวงเครื่องห้าตามแต่ฐานะของผู้เป็นเจ้าของงาน ๑. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงบนพื้นดินกลางสนาม ไม่มีฉาก มีบทพากย์ และเจรจาสำหรับบรรยายเรื่อง วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเพียงวงปี่พาทย์เครื่องห้า มีเครื่องบรรเลงคือ ปี่กลาง ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด (แต่เดิมใช้เพียง ๑ ลูก ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๑ จึงเพิ่มเป็น ๒ ลูก) และฉิ่ง โดยจะมี ๒ …

Continue reading
การแต่งกายโขน

เครื่องแต่งกายของโขน

เครื่องแต่งกายของโขนมีดังนี้ ๑. ตัวพระ สวมเสื้อแขนยาวปักดิ้น และเลื่อม มีอินทรธนูที่ไหล่ ส่วนล่างสวมสนับเพลา (หมายเหตุ : กางเกง) ไว้ข้างใน นุ่งผ้ายกจีบโจงไว้หางหงส์ทับสนับเพลา ด้านหน้ามีชายไหวชายแครงห้อยอยู่ ศีรษะสวมชฎา สวมเครื่องประดับต่างๆ เช่น กรองคอ ทับทรวง ตาบทิศ ปั้นเหน่ง ทองกร กำไลเท้า เป็นต้น แต่เดิมตัวพระจะสวมหัวโขน แต่ภายหลังไม่นิยม เพียงแต่แต่งหน้า และสวมชฎาแบบละครในเท่านั้น ๒. ตัวนาง สวมเสื้อแขนสั้นเป็นชั้นในแล้วห่มสไบทับ ทิ้งชายไปด้านหลังยาวลงไปถึงน่อง ส่วนล่างนุ่งผ้ายกจีบหน้า ศีรษะสวมมงกุฎ รัดเกล้า หรือกระบังหน้าตามแต่ฐานะของตัวละคร …

Continue reading
โขน

การฝึกหัดโขน

ผู้ที่จะหัดโขนนั้นมักเป็นผู้ชายตามธรรมเนียมมาแต่โบราณ โดยเริ่มหัดกันตั้งแต่อายุ ๘ -๑๒ ขวบ ในชั้นต้นครูผู้ใหญ่จะพิจารณาคัดเลือกออกเป็น ๔ พวก คือ ๑. ตัวพระ คัดเลือกผู้มีลักษณะใบหน้าสวย จมูกเป็นสัน ลำคอโปร่งระหง ไหล่ลาดงาม ช่วงอกใหญ่ ลำตัวเรียว เอวเล็ก ตามแบบชายงามในวรรณคดีไทย ๒. ตัวนาง เลือกผู้ที่มีลักษณะคล้ายตัวพระ แต่ต้องมีใบหน้างาม กิริยาท่าทางนุ่มนวลอย่างผู้หญิง ๓. ตัวยักษ์ เลือกผู้ที่มีลักษณะคล้ายตัวพระ แต่ไม่ต้องเลือกหน้าตา รูปร่างต้องใหญ่ และท่าทางแข็งแรง ๔. ตัวลิง เลือกผู้ที่มีลักษณะป้อมๆ ท่าทางหลุกหลิกคล่องแคล่วว่องไว เมื่อผู้ที่หัดเป็นตัวเหล่านี้ไปแล้ว …

Continue reading
โขน วิวัฒนาการ

วิวัฒนาการของโขน จากโขนกลางแปลงไปสู่โขนฉากและโขนโรงใน

การเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของโขนในประวัติศาสตร์ การแสดงโขนกลางแปลงในยุคแรก และการพัฒนาเป็นโขนโรงนอก โขนหน้าจอ โขนโรงใน และโขนฉากในปัจจุบัน สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทยผ่านการแสดงโขนที่สร้างสรรค์และคล้ายคลึงกับละครและศิลปะในช่วงเวลาต่างๆ ๑. โขนกลางแปลง โขนในยุคแรกคงแสดงกันกลางสนามเช่นเดียวกับการแสดง “ชักนาคดึกดำบรรพ์” ต่อมาจึงเรียกกันว่า “โขนกลางแปลง” โดยเป็นการแสดงโขนบนพื้นดินกลางสนาม นิยมแสดงตอน “ยกรบ” คือตอนยกทัพมารบกันระหว่างกองทัพของพระรามกับกองทัพของทศกัณฐ์ การแสดงจะมีแต่บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบการยกทัพ บทพากย์ และเจรจา แต่ไม่มีบทร้อง ๒. โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว โขนโรงนอกเป็นโขนที่แสดงบนโรง ตัวโรงมักมีหลังคา และมีราวพาดตามส่วนยาวของโรง มีช่องให้ผู้แสดงสามารถเดินได้รอบราว เมื่อตัวโขนแสดงบทของตนเสร็จแล้วก็จะกลับไปนั่งบนราว ซึ่งสมมุติเป็นเตียง ไม่มีบทขับร้องมีแต่บทพากย์ และเจรจา ทำให้ปี่พาทย์ต้องบรรเลงเพลงหน้าพาทย์มากจึงมักจะใช้วงปี่พาทย์ ๒ วง …

Continue reading
โขน ประวัติศาสตร์

โขน กำเนิดของโขน และประวัติศาสตร์โดยย่อ

โขน เป็นมหรสพชั้นสูงที่ใช้แสดงในงานสำคัญๆมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกับหนังใหญ่ เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่โบราณประมาณก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖ โดยสันนิษฐานว่า “โขน” ได้พัฒนามาจากการแสดง ๓ ประเภท คือ ๑. การแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ การแสดง “ชักนาคดึกดำบรรพ์” มีกล่าวไว้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงพระราชพิธีอินทราภิเษกว่า “ในการพระราชพิธีอินทราภิเษกปลูกเขาพระสุเมรุ (หมายเหตุ : สร้างจากโครงไม้ไผ่ แล้วปิดทับด้วยกระดาษ แล้วจึงทาสีให้แลดูเหมือนภูเขา) สูงเส้นหนึ่งกับ ๕ วา ที่กลางสนาม ตั้งภูเขาอิสินธร ยุคนธร สูงสักหนึ่ง และภูเขากรวิกสูง ๑๕ วา ที่เชิงเขาทำเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียรเกี้ยว (หมายเหตุ : …

Continue reading