อาหารเสริมสำหรับทารกวัยต่างๆ
ความสำคัญของอาหารเสริมสำหรับทารก
1. เพื่อช่วยให้ทารกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตอนและเหมาะสม
นับตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ทารกก็มีความต้องการสารอาหารที่พอเพียง 100% เต็มเพื่อเติบโตได้อย่างเหมาะสม อาหารของทารกในครรภ์จะได้จากอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป ย่อยสลายและผ่านทารกไปสู่ร่างกายของลูก
ครั้นเมื่อลูกคลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้ว “นมแม่” เป็นอาหารที่ดีที่สุด มีคุณค่าโภชนากรครบถ้วน เหมาะสมที่สุด และจะช่วยการพัฒนาของเด็กได้ดีที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ ให้ภุมิต้านทานโรค เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก และเป็นการประหยัดอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันอีกด้วย
ดังนั้นในระยะสามเดือนแรกของชีวิต ในช่วงที่ลูกยังบอบบางอ่อนแอ กำลังปรับตัวให้คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมนอกครรภ์ของมารดา ลูกน้อยจึงควรจะได้รับแต่น้ำนมแม่ ซึ่งธรรมชาติได้ปรุงแต่งให้สะอาด เหมาะสม มีคุณค่า และเพียงพอสำหรับเด็กทุกคนเพียงอย่างเดียว เพราะในนมแม่มีน้ำเพียงพอกับความต้องการของร่างกายแล้ว
อย่างไรก็ดี น้ำนมแม่จะพอเพียงสำหรับลูกไปจนถึง 4-6 เดือน แต่หลังจากนั้นน้ำนมแม่ซึ่งยังทางคุณค่าอยู่เช่นเดิม จะมีปริมาณไม่พอเพียงความต้องการในการเจริญเติบโต ของลูก เพราะเด็กในช่วงปีแรก ถึง 2 ปี เจริญเติบโตเร็วมาก ดังลำดับต่อไปนี้
แรกเกิด 3 กก ไปเป็น 2 เท่า เท่ากับ 6 กก เมื่อ 5 เดือน
ไปเป็น 3 เท่า เท่ากับ 9 กก. เมื่อ 1 ปี
ไปเป็น 4 เท่า เท่ากับ 12 กก. เมื่อ 2 ปี
ดังนั้นลูกจึงจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมตั้งแต่เดือนที่ 4 เป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่อช่วยให้การเจริญเติบโตทั้งกายและใจของลูกเป็นไปอย่างราบรื่น เหมาะสมตามที่ควรเป็น และไม่ขาดตอน แต่อย่างไรก็ตาม น้ำนมแม่ก็ยังต้องให้เป็นมื้อหลักอยู่เช่นเดิม
2. เพื่อเสริมให้ทารกมีภาวะโภชนาการที่ดี
ดังได้กล่าวในข้อแรกแล้วว่า ถ้าเด็กทารกได้รับน้ำนมแม่และอาหารเสริมที่พอเพียงและสะอาด ก็จะทำให้การเจริญเติบโตของทารกราบรื่น แต่ถ้าหากเด็กทารกไม่ได้รับน้ำนมจากแม่ ได้รับแต่นมผสม และได้รับอาหารเสริมที่ไม่เหมาะสมและไม่สะอาด ก็จะไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายเติบโตแข็งแรงและพัฒนา ซ้ำอาจเกิดโรคต่างๆ ขึ้นได้ เช่น ท้องเสีย เป็นหวัด ปอดบวม หลอดลมอักเสบ และรับเชื้อโรคที่ระบาดอื่นๆ ได้ง่าย อันอาจเป็นสาเหตุให้ทารกตายได้ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ทารกได้รับอาหารหลัก (น้ำนม) และอาหารเสริมไม่ถูกต้อง ครบถ้วน มักเกิดโรคได้ง่าย และอัตราการตายจะสูงกว่าเด็กทารกที่ได้รับอาหารหลักและอาหารเสริมที่เหมาะสม
3. แก้ปัญหาการขาดสารอาหารในทารกและเด็กของประเทศไทย
ในประเทศไทยของเรายังมีอัตราการขาดสารอาหารในทารกและเด็กค่อนข้างสูง ถึง 30-40 % (แล้วแต่ท้องที่) ซึ่งจะทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตไม่ได้ น้ำหนักน้อย สมองเติบโตช้า อันมีผลกระทบไปถึงการพัฒนาสติปัญญา และความรับรู้อื่นๆ จะด้อยกว่าปกติ อาจเกิดโรคโลหิตจางได้(โรคโลหิตจางนี้ เด็กไทยอาจเป็นสูงถึง 10-30 % ของเด็กทั้งหมดโดยขึ้นกับท้องที่) หรือการขาดวิตามินเอ ซึ่งทำให้การเจริญเติบโตช้ากว่าที่ควร การขาดวิตามินบีหนึ่งก็อาจทำให้เป็นโรคเหน็บชาในทารกและเด็กได้
ดังนั้น จึงอาจสรุปความสำคัญอีกประการหนึ่งของอาหารเสริมได้ว่า อาหารเสริมที่เตรียมให้ครบคุณค่าตามความต้องการของร่างกาย ทั้งปริมาณและคุณภาพ จะช่วยให้ร่างกายมีภาวะโภชนาการที่สมบูรณ์ ไม่เป็นโรคขาดอาหาร ซึ่งจะนำไปสู่การเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ อาหารเสริมจะช่วยเสริมสร้างงภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ใจและสติปัญญา ในวัยพื้นฐาน ซึ่งหากแต่ละครอบครัวสามารถตระเตรียมให้ดี ก็เท่ากับลดภาวะทุโภชนาการของประเทศไปได้
4.เป็นการบ่มเพาะพฤติกรรม และนิสัยการกินของทารกและเด็ก
การกินอาหารที่เหมาะสมในวัยผู้ใหญ่มีพื้นฐานมาจากการได้รับอาหารเสริมในวัยทารก กล่าวคือ ในช่วงวัย 0-3 เดือน ทารกจะได้รับอาหารเป็นของเหลว(น้ำนม)
3-5 เดือน ขึ้นไป ทารกควรจะได้รับการสร้างความคุ้นเคยกับอาหารครึ่งแข็งครึ่งเหลว (อาหารอ่อน) แน่นอนเด็กบางคนในวัย 3 เดือนเศษยังไม่พรัอม ไม่ยอมรับ แต่โดยทั่วไปก็อาจจะรับได้ในวัย 4-5 เดือน เพราะการเคี้ยวและการกลืนจะเกิดขึ้นในวัย 3-5 เดือน (เด็ก ๆมีความแตกต่างกัน บางคนอาจช้า หรือเร็ว) การกลืน เป็นพฤติกรรมที่ยากสำหรับทารก เนื่องจากต้องอาศัยการประสานงานของอวัยวะหลายส่วน ได้แก่ ลิ้น และกล้ามเนื้อ บริเวณคอ อันต่างจาการดูดซึ่งถือว่าเป็นสัญชาติญาณที่เด็กสามารถทำได้ตั้งแต่เกิด (แต่ระยะที่เด็กฝึกกลืนนี้ ก็อาจมีปฏิกิริยาการดูดปนอยู่ด้วย)
6-12 เดือน เด็กจะเริ่มเคี้ยวอาหารได้ เพราะส่วนใหญ่จะเริ่มมีฟัน จึงควรให้อาหารที่มีลักษณะหยาบขึ้น อาจเป็นเนื้อสัตว์ พ่อแม่ไม่มีเวลาเตรียมอาหารเสริม ให้เด็กดูดนมอย่างเดียว เด็กก็จะไม่ได้พัฒนาการกลืน การเคี้ยวอาหารแบบต่าง ๆได้ พัฒนาเฉพาะการดูดเท่านั้น ซึ่งเมื่อปล่อยทิ้งไว้ เช่นนี้หรือให้อาหารเสริมแบบต่าง ๆ ช้าไป เด็กก็อาจปฏิเสธไปเลย หรือยอมรับยาก ก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆตามมาอีกได้
ระยะปีเศษขึ้นไป เด็กจะมีฟันมากขึ้น ควรได้รับอาหารที่มีกากมากขึ้น ส่วนใหญ่เราจะพบว่าเด็กในวัยนี้อาจกินอาหารคล้าย ๆอาหารผู้ใหญ่ก็ได้ แต่รสชาดต้องไม่จัด และคุณค่าครบถ้วน สะอาด ถูกอนามัย ดังนั้นการสร้างนิสัยที่ดีอีกอย่างคือการให้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ใหญ่ในครอบครัว
ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงเชื่อมต่อระหว่างการให้อาหารเสริมไปสู่การรับอาหาร 5 หมู่ ปกติเหมือนผู้ใหญ่อย่างไรก็ดีเพื่อให้ความกระจ่างชัดในเรื่องนี้ ขออธิบายถึงการทำงานของสรีระในส่วนที่เกี่ยวกับการย่อยและดูดซึมสารอาหารของทารกและเด็ก
ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงเชื่อมต่อระหว่างการให้อาหารเสริมไปสู่การรับอาหารหลัก 5 หมู่ ปกติเหมือนผู้ใหญ่ อย่างไรก็ดีเพื่อให้ความกระจ่างชัดเจน
ดูตารางแสดงการให้อาหารเสริมลูก ในช่วง 3 เดือน ถึง 1 ปีครึ่ง
3-4 | อาหารเสริมทารก 3-4 เดือนควรเป็นอาหารเหลวใส ได้แก่น้ำผลไม้ต่าง ๆ ข้าวครูด เป็นต้น การให้อาหารเสริมในช่วงนี้เป็นการสอนให้ทารกไดรู้จักลิ้มรสอาหารชนิดอื่น เพื่อเป็นที่ยอมรับต่อไปในอนาคต ตัวอย่าง อาหารเสริมทารกในช่วง 3-4 เดือน มีน้ำมะเขือเทศ ,น้ำส้มคั้น ,กล้วยครูด ,น้ำซุป |
5 | ในช่วง 5 เดือน ทารกจะเริ่มคุ้นเคยกับอาหารเสริมมากขึ้น อาหารในช่วงนี้ จะมีลักษณะข้นขึ้น เช่นข้าวครูด ผสมไข่แดง .ข้าวครูดตับบด .ซุปไก่ผสมผักบด ฯลฯ |
6 | ช่วง 6 เดือนขึ้นไป ทารกจะมีฟันคู่แรกขึ้นช่วงนี้ ทารกจะรู้สึกคันเหงือกพร้อมที่จะคว้าของใส่ปากขบเล่น ดังนั้น อาหารในช่วงนี้จึงควรจะมีลักษณะข้นบดหยาบ พิที่จะขบแทะได้ เช่น ข้าวต้มไก่กับ ฟักเขียว และในช่วงนี้ลูกควรได้รับอาหารแทนนมแม่ 1 มื้อ |
7-8 | 7-8 เดือน อาหารจะหยาบกว่าเดิม แต่ยังคงอ่อนนุ่มเคี้ยวงาย นมจะเริ่มกลายเป็นอาหารเสริม อาหารที่รับประทานจะกลายเป็นอาหารหลักต่อไป ตัวอย่างลักษณะอาหารของทารกในวัยนี้ คือ ไข่ตุ๋นหมูสับกับข้าวสวยบดหยาย ๆ นุ่ม ๆ |
9-12 | 9-12 เดือน เด็กจะมีฟันหน้าเพิ่มขึ้นรวมเป็น 4 ซี่ ดังนี้ เขาจะใช้ฟันกัดอาหารและกลืนได้ดีขึ้น จึงทำให้สามารถรับอาหารอ่อน ประเภทสับหยาบ ๆ เช่น ข้าวหุงนิ่ม ๆ พุดดิ้งขนมปัง |
13-18 เดือน | 13-18 เดือน เด็กสามารถรับประทานอาหารได้เกือบทุกชนิด ดังนั้ อาหารจะมีลักษณะ หยาบขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงต้องปรุงให้นุ่มพอที่จะรับประทานได้ ตัวอย่างอาหารของเด็กในวัยนี้ เช่น เกี๊ยวน้ำ ,ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ ,สตูว์หมู ฯลฯ |