ในตำนานเทพเจ้ากรีก ซุส เทพเจ้าสายฟ้า เป็นเทพเจ้าสูงสุด ผู้ครองบัลลังก์บนเขาโอลิมปัส เขาทรงมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือเหล่าทวยเทพทั้งปวง แต่กระนั้น ซุสก็ยังมีความขัดแย้งในตัวเองอยู่หลายประการ
หลังจากปราบยักษ์เสร็จปราศจากเสี้ยนหนามใด ๆ แล้ว ซุสก็ขึ้นครองบัลลังก์รั้งอำนาจเต็มตลอด 3 ภพ คือสวรรค์ พิภพและบาดาล แต่ซุสก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพและทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่าย หาใช่ภาระเล็กน้อยไม่ เพื่อป้องกันการแก่งแย่งและกระด้างกระเดื่อง ซุสจึงจัดสรรอำนาจยอมยกให้เทพภราดรมีเอกสิทธิในการปกครองอาณาเขตดังนี้
โพไซดอน หรือ เนปจูน หรือ ได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง
ฮาเดส หรือ พลูโต เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะรัส และแดนบาดาลทั้งหมดอันรัศมีของแสงอาทิตย์ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย ส่วนยูปิเตอร์ หรือ ตัวซุส เองปกครองทั้งสวรรค์และพิภพ แต่ก็มีอำนาจที่จะสอดส่องดูแลกิจการทั่วไปในเขตแดนของเทพภราดรทั้งสองได้บ้าง
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ความสงบราบคาบบังเกิดขึ้นตลอดสวรรค์และพิภพเทพทั้งหลายก็ประนีประนอมกันดี ธรรมชาติทั้งมวลก็ประกอบพร้อมแล้ว แม้แต่สถานที่ซึ่งชีวิตฝ่ายกุศลและอกุศลจะพึงดลเมื่อล่วงลับแล้ว
ก็จัดไว้พร้อมสรรพ
บทบาทของ ซุส เทพเจ้าสายฟ้า
หากกล่าวถึงบทบาทของเทพซุสแล้วต้องยอมรับว่า ซุสมีบทบาทขัดแย้งในองค์เองมากที่สุดในบรรดาเทวานุเทวะ ด้วยกันเนื่องจากทรงเป็นมหาเทพผู้ทรงอำนาจสูงสุด และมีผู้เคารพนับถือโดยทั่วไปเป็นที่ยำเกรงของสามโลก ทรงไว้ซึ่งฤทธิ์อำนาจ ล้นฟ้าล้นแผ่นดิน แต่กลับทรงมีอุปนิสัยเหมือนบุรุษหนุ่มธรรมดา ๆ บางคน นั่นคือ ความเกรงใจที่มอบให้แก่มหาเทวี ฮีร่า ชายาของซุสอย่างมาก หากพูดกันตามประสา ก็คือ “กลัวเมีย”และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ความเจ้าชู้ที่มีอยู่ในตัวมหาเทพซุสนั่นเอง
ความขัดแย้งอีกประการหนึ่งที่มีอยู่ในตัวมหาเทพองค์นี้ คือ แม้ว่าซุสจะมีอำนาจสูงสุดทั่วสามภพ แต่ไม่อาจใช้อำนาจของตนไปแตะต้องเทพองค์หนึ่งได้ ทั้ง ๆ ที่เทพองค์นั้นก็เป็นเพียงเทวะชั้นรอง และไม่สามารถมาประชันขันแข่งกับซุสเทพบดีได้ เทพองค์นั้นมีนามว่า ชะตาเทพ (Fate) แสดงว่าไม่มีผู้ใดเลย แม้แต่เหล่าทวยเทพจะหาญสู้
หลีกเลี่ยง หรือก้าวก่ายกับชะตาชีวิตได้
ด้วยเหคุนี้การที่มหาเทพซุสมีอะไรแย้ง ๆ กันในองค์เอง อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณที่สร้าง เหล่าทวยเทพขึ้นนับถือ มีความเป็นนักปรัชญาอยู่เต็มตัว เขาจึงสร้างทวยเทพของเขาให้ละม้ายแม้นกับมนุษย์ปุถุชน มีทั้งข้อดีและจุดบกพร่อง คุณงามความดีอันสำคัญของมหาเทพซุสเป็นอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า ผู้ที่เคารพนับถือซุสเป็นนักปราชญ์มากกว่านักสงคราม
ก็คือ ซุสทรงรักสัจจะและความเป็น ธรรมอย่างที่สุด ทรงเกลียดชังคนโกงและคนโกหกอย่างที่สุด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเพื่อถวายแด่ พระองค์นักกีฬาจึงต้องแข่งกันอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
รูปสลักของซุสเทพบดีมีลักษณะเป็นบุรุษสูงวัย ล่ำสันแข็งแรง พักตร์มีสง่าราศี กอปรด้วยเครายาวและเกศาหยิกสลวย ซุสมี อสุนีบาต หรือ สายฟ้า (Thunder bolt) เป็นอาวุธประจำกาย ทรงเกราะทองประกายวาววับ ซึ่งเกราะทองนี้ไม่มีมนุษย์สามัญจะทน มองได้ แม้แต่ทวยเทพด้วยกันเอง หากไปเพ่งมองแสงเจิดจ้าของเกราะทองเข้าก็ย่ำแย่เช่นกัน ทรงมีพญานกอินทรีเป็นนกเลี้ยง ต้นโอ๊คเป็นพฤกษาประจำองค์ มีมหาวิหารและศูนย์กลางศรัทธาในตัวพระองค์อยู่ที่เมืองโอลิมเปีย
ดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้นว่า ซุสเป็นมหาเทพที่เจ้าชู้ที่สุดองค์หนึ่งในวงศ์โอลิมเปี้ยน เรื่องราวความรักของซุสมีมากหลาย เรื่องเป็นตำนานเล่าสืบทอดกันมากมาย
ซุสเทพบดีออกจะถนัดถนี่ในการล่อลวงสตรีสาวสวยยิ่งกว่า เหล่าเทพองค์ใด ๆ เท่าที่เคยมีมา ทรงปลอมเป็นวัวสีขาวสง่างาม ไปหลอกโฉมงามนางยูโรปาไปเชยชมที่เกาะครีต นอกจากนี้ ยังทรงแปลงเป็นหงส์ไปก้อร่อก้อติกสาวงามนามลีดา (Leda) จนอนงค์นางตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นไข่ ครั้นไข่แตกออก แทนที่จะเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งหงส์โผล่ออกมาอย่างตำนานทั่วไป กลับกลายเป็นฝาแฝดชายคู่หนึ่ง ได้แก่ คัสเตอร์ (Castor) กับ โพลิดียูซิส (Polydeuses) หรือ พอลลักซ์ (Pallux ) ในภาษา โรมัน สิ่งที่ทำให้ทารกคู่นี้เป็นพยานความสัมพันธ์ระหว่างเทพกับมนุษย์คือ คนหนึ่งมีกายเป็นอมตะดั่งเทพ แต่อีกคนหนึ่งตายได้ อย่างมนุษย์สามัญธรรมดา
นอกจาก ฝาแฝดชายคู่นี้แล้ว ลีดายังมีแฝดหญิงอีกคู่หนึ่ง ซึ่งกระเดื่องเลื่องชื่อที่สุดใน ตำนานเทพจ้ากรีกโบราณ หนึ่งนั้นนามว่า เฮเลน เดอะบิวติฟุล ต้นเหตุของมหาสงครามกรุงทรอย อีก หนึ่งคือ ไคลเตมเนสตร้า (Clytemnestra) ซึ่งต่อมาได้เป็นมเหสีของ อกาเมมนอนแห่งไมซีนี่ (ความสัมพันธ์สวาทของนางลีดากับพญาหงส์ปลอมที่มหาเทพซุสทรงจำแลงมานั้น เป็นไปอย่างซ่อนเร้น เพราะลีดาเป็นมเหสีของท้าว ทินดาริอุส (Tindarius) แห่งสปาร์ต้า เมื่อลีดาให้กำเนิดเฮเลนและ ไคลเตมเนสตร้า ทินดาริอุสก็นึกว่าเป็นธิดาของพระองค์)