
มหาอํามาตย์เอก พระยาโกมารกุลมนตรี (ชื่น โกมารกุล ณ นคร) ชั้นที่ ๖ ( สกุล โกมารกุล ณ นคร เชื้อสาย เจ้าพระยามหาศิริธรรม (น้อยใหญ่) บุตร นายพลพ่าย (ชวน) ผู้เป็นบุตร พระยาศรีสรราช ภักดี (หนูเล็ก)
จากหนังสือ “โกมารกุลอนุสรณ์” พิมพ์ในงานพระราชเพลิงศพ มหาอํามาตย์เอก พระยาโกมารกุลมนตรี (ชื่น โกมารกุล ณ นคร) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๐๔
มหาอํามาตย์เอก พระยาโกมารกุลมนตรี (ชื่น โกมารกุล ณ นคร) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๙ ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๕๓ ตรงกับวันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๓๔ เป็นบุตรชายคน เดียวของนายพลพ่าย (ชวน โกมารกุล ณ นคร) กับ คุณจวง บุนนาค
ชีวิตราชการของมหาอํามาตย์เอก พระยาโกมารกุลมนตรี ที่ เกี่ยวกับกระทรวงการคลัง เริ่มเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๗ คือ หลังจากที่ได้เข้าศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนสุขุมาลัย (พ.ศ. ๒๔๔๔) และที่ โรงเรียนอุดมวิทยายน วัดอนงคาราม แล้ว ท่านได้ขึ้นไปเชียงใหม่ กับท่านเจ้าพระยาพลเทพฯ ซึ่งเป็นอาของท่าน และได้เริ่มฝึกราชการที่พระคลังมณฑลพายัพ
เมื่อกลับจากเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ท่านได้เข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนราชวิทยาลัย ซึ่งครั้งนั้นยังอยู่ที่ตึกสายสวลีย์ คือที่โรงเลี้ยงเด็ก ถนนบํารุงเมือง ในปัจจุบัน และในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ เมื่อมี อายุ ๑๗ ปี ท่านได้เข้าฝึกราชการในกรมตรวจและกรมสารบาญชี กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้เป็น เสมียนในกรมตรวจและกรมสารบาญชี รับพระราชทานเงินเดือนๆ ละ ๒๕ บาท
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้ ส่งไปศึกษาวิชา ณ ประเทศอังกฤษ ในชั้นต้นได้เข้าศึกษาที่ Travis’s Commercial School, Southampton และต่อมาได้ ย้ายไปศึกษาที่ Pitman’s School, London กับศึกษาวิชากฎหมายในสํานักศึกษา Gray’s Inn, London และได้สําเร็จวิชา กฎหมายเป็นเนติบัณฑิตอังกฤษแห่งสํานักนั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐
หลังจากสําเร็จการศึกษาและกลับถึงประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๔๖๐แล้ว ท่านได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณในตําแหน่งพนักงาน อัยการ ซึ่งในครั้งนั้นสังกัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ตลอดมาจนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ จึงได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โอนไปรับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และโดยที่ท่านเป็นผู้ที่ทรงคุณวุฒิในวิชาการอย่างสูงผู้หนึ่งในสมัยนั้น ประกอบกับทั้งเป็นผู้ที่มีความสามารถในหน้าที่ราชการเป็นอย่างดี ในกาลต่อๆ มาจึงได้รับตําแหน่งที่สําคัญต่างๆ ไม่เฉพาะแต่ในวงราชการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ หากแต่ใน
วงราชการอื่นๆ หลายแห่งอีกด้วย อาทิ เช่น เป็นเลขานุการสภา กรรมการกํากับตรวจตราข้าว (เนื่องจากอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ซึ่งเป็นเหตุให้ข้าวมีราคาแพง) เป็นเลขานุการและที่ปรึกษา กฎหมายสภาเผยแผ่พาณิชย์ กรรมการในสภากรรมการรถไฟ อธิบดีกรมทะเบียนการค้า อธิบดีกรมเงินตรา นายกกรรมการ ธนาคารสยามกัมมาจล จํากัด ฯลฯ
ในราชการกระทรวงพระคลังมหาสมบัตินั้น ปรากฏว่าเมื่อต้น เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ดํารงตําแหน่งอธิบดีกรมบาญชีกลาง ซึ่งเป็นกรมที่มีหน้าที่ราชการ กว้างขวางยิ่ง คือ เป็นกรมชั้นหนึ่งในราชการบริหารประเทศไทย ครั้งนั้น ซึ่งตําแหน่งอธิบดีกรมบาญชีกลางนี้ ถือกันว่าเป็นบันไดที่ จะขึ้นสู่ตําแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ในกาล ต่อมาท่านเจ้าคุณโกมารกุลมนตรีได้แสดงความสามารถในการ
ปฏิบัติงานของท่านเป็นที่ประจักษ์ว่า เป็นผู้มีวิริยะอุตสาหะ ประกอบด้วยสุขุมคําภีรภาพ ทั้งมีความเด็ดเดี่ยว เฉียบขาด จนกรมบาญชีกลางสมัยนั้นได้ชื่อว่าเป็นกรมที่มีความแข็งแกร่ง ที่สุดกรมหนึ่ง ภายหลังที่ได้ดํารงตําแหน่งอธิบดีกรมบาญชีกลาง อยู่ประมาณ 3 ปี ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้รั้งตําแหน่ง เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ในขณะที่มีอายุเพียง ๓๘ ปี ซึ่งทั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์ ความสามารถของท่านอย่างชัดแจ้ง และหลังจากนั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์มงกุฎสยาม
ด้วยคุณงามความดี และความสามารถในการปฏิบัติราชการของ ท่าน ในปีต่อมา (๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๓) ก็ได้มีพระบรมราช โองการโปรดเกล้าฯ ให้ดํารงตําแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ในขณะที่มีอายุเพียง ๓๘ ปี ๗ เดือนเศษ นับว่าเป็น เสนาบดีที่มีอายุน้อยที่สุดในสมัยนั้น ท่านได้รับราชการสนอง พระเดชพระคุณในตําแหน่งเสนาบดีจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้กราบถวายบังคมลาออก และได้ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้พ้นจากตําแหน่งเสนาบดีโดยได้รับพระราชทานบํานาญตลอดมา
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ท่านเจ้าคุณ โกมารกุลมนตรี ก็ยังได้ช่วยเหลือราชการแผ่นดินในตําแหน่งต่างๆ อีกหลายตําแหน่ง อาทิเช่น ตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานกรรมการพิจารณากักคุมตัว และควบคุมจัดกิจการ หรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อ สหประชาชาติ (ก.ท.ส.) ประธานสภาเศรษฐกิจ ฯลฯ โดยที่ท่านเจ้าคุณโกมารกุลมนตรี เป็นผู้ที่มีความสามารถและวุฒิ สูงส่งผู้หนึ่ง กิจการงานของกรมบาญชีกลางในสมัยนั้นจึงได้มีการ แก้ไขปรับปรุงตลอดมา แม้จะไม่ถึงขนาดที่เรียกว่า “ปฏิวัติ” แต่ก็ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปเป็นอันมาก และโดยที่ท่านมีหลักวิชาทาง กฎหมายเป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ กับมีความรู้ทางการคลังเป็นอย่างดี ในสมัยที่ท่านดํารงตําแหน่งอธิบดีกรมบาญชีกลาง จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติเงินตรา พระราชบัญญัติบําเหน็จบํานาญประการใช้เป็นกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงหลักการ และระเบียบวิธีดําเนินงานตลอดจนการสับเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ของกรมบาญชีกลาง ที่ท่านเจ้าคุณโกมารกุลมนตรี ได้ปฏิบัติในขณะที่ดํารงตําแหน่งอธิบดีอยู่นั้น มีตัวอย่างอยู่บ่อยครั้ง เช่นในเมื่อได้มีกระแสพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมทบกรมตรวจเงินแผ่นดินและกรมพระคลังมหาสมบัติเข้ากับกรมบาญชีกลางตามประกาศลงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๙ ท่านก็ได้จัดให้แบ่งงานของทั้ง ๓ กรม (หลังจากที่ได้รวมเป็นกรมเดียวกันแล้ว) ออกเป็นส่วนและแผนก เพื่อความเหมาะสม โดยวางตัวเจ้าหน้าที่สําคัญๆ ไว้แต่ละส่วนแต่ ละแผนก และได้วางแบบพิมพ์ต่างๆ ที่ใช้ในราชการ เช่น แบบ ฎีกาเงินเดือนและเงินบําเหน็จบํานาญ เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยัง ได้เปลี่ยนระเบียบการตั้งจ่ายเงินทางพระคลังกรุงเทพฯ ขึ้นใหม่ ให้สอดคล้องกับการที่ได้รวมกรมทั้ง ๓ เข้าเป็นกรมเดียวกัน การวางแบบวิธีเขียนหนังสือราชการ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านเจ้า
คุณโกมารกุลมนตรีมีความสนใจและเอาใจใส่เป็นพิเศษ ดังตัวอย่างที่ได้พิมพ์รวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วยแล้ว ท่านได้ อุตส่าห์แนะนําสั่งสอนให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หัดใช้ถ้อยคําในการ ร่างหนังสือราชการให้ถูกต้องและไม่ฟุ่มเฟือยอยู่เสมอ ดังที่ได้ เรื่องเล่ากันมาว่า ท่านได้เห็นในร่างคําสั่งให้ “โยกย้าย” ข้าราชการจากแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง จึงได้ตั้งคําถามว่า “ต้อง โยกด้วยหรือ จึงจะย้ายได้ ?” และตั้งแต่นั้นมาคําว่า “โยกย้าย” ก็ หายไป คงใช้แต่เพียง “ย้าย”
นอกจากจะเป็นผู้จัดให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักการ และระเบียบวิธีดําเนินงานของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และของกรมบาญชีกลางแล้ว ยังเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ท่านเป็นผู้มี ความอันคมคายผู้หนึ่งในบรรดาข้าราชการผู้ใหญ่สมัยนั้น คารม และโวหารของท่านมุ่งสู่จุดหมายโดยไม่มีการอ้อมค้อม
ท่านเจ้าคุณโกมารกุลมนตรี เป็นผู้มีบุคลิกลักษณะเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าพูด กล้าทํา และยิ่งดํารงตําแหน่งเสนาบดีกระทรวง พระคลังมหาสมบัติ ซึ่งถือกันว่าเป็นกระทรวงที่สําคัญที่สุด กระทรวงหนึ่ง บุคลิกลักษณะดังกล่าวนี้ ก็ยิ่งเป็นสิ่งจําเป็นที่สุดใน การปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในสมัยทํางบประมาณ ซึ่งท่านต้องทํา หน้าที่ตัดทอนและหาเหตุผลชี้แจงโต้แย้งกับเจ้ากระทรวงทบวง กรมต่างๆ ความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งกล้าพูดกล้าทําของท่านนี้
เป็นที่ทราบและเลื่องลือกันตั้งแต่สมัยนั้นตลอดมา จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังมีผู้กล่าวกันอยู่เสมอว่า จะยังมีข้าราชการผู้ใหญ่ในตําแหน่งสูง ดังที่ท่านได้เคยดํารงซึ่งมีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าพูด กล้าทํา อย่างท่านอีกหรือไม่
ท่านเจ้าคุณโกมารกุลมนตรี เป็นข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งในจํานวนน้อยคนซึ่งมีความสนใจในภาษาหนังสือเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นผู้มีนิสัยรักในด้านนี้อย่างจริงใจ และได้เขียนบทความแสดง ข้อคิดเห็นในเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ เป็นจํานวนมาก และยังได้ ประพันธ์บทละครพูดชวนหัว เรื่องสั้นๆ ชนิดองค์เดียวจบไว้หลายเรื่อง
ความสนใจในภาษาหนังสือของท่าน มิได้หยุดอยู่เพียงบทความ ร้อยแก้ว และบทละครเท่านั้น หากแต่ได้ไปถึงกวีนิพนธ์ด้วย ท่าน ได้แต่งโคลงกลอนไว้เป็นจํานวนมากดังที่ปรากฏใน “ประมวลโวหาร”
ท่านเจ้าคุณโกมารกุลมนตรี เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนา และในพระพุทธโอวาทเป็นอย่างยิ่งผู้หนึ่ง จึงเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้เป็นปัจจัยให้ท่านสร้างหนังสือแสดงคําอธิบายของพระพุทธโอวาท โดยเลือกธรรมบางข้อมาผูกขึ้นเป็นโคลงทาย ๑๙ บท แล้วส่งโคลงทายเหล่านั้นไปยังธรรมกถึกทั้งบรรพชิตและ คฤหัสถ์ ขอให้ตอบโคลงทายด้วยสํานวนโวหารและอรรถารสของ แต่ละท่าน โดยให้ใช้ภาษาอธิบายที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่ ชนผู้อ่านทุกชั้น เมื่อได้รับคําตอบและคําอธิบายวิสัชนาของโคลง ทายเหล่านั้นแล้ว ท่านก็ได้รวบรวมจัดพิมพ์เป็นเล่มเรียกว่า “โคลงทาย และวิสัชนา” แจกจ่ายไปยังบรรดาผู้ที่ชอบพอคุ้นเคย เป็นวิทยาทาน “โคลงทาย และวิสัชนา” นี้ ภายหลังได้แต่ง เพิ่มเติมขึ้นอีก ๑๔ บท และได้พิมพ์ขึ้นเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ รวมเป็นโคลงทายทั้งสิ้น ๓๓ บทด้วยกัน
วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๓ ปีฉลู เวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น. ท่านเจ้าคุณโกมารกุล มนตรี ถึงอนิจกรรมด้วยโรคหัวใจวายโดยสงบ คํานวณอายุได้ ๖๙ ปี ๕ เดือน ๑๕ วัน

