พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ชั้นที่ ๔ สกุล ณ นคร

Spread the love

พระยาบริรักษ์ภูธร ถ่ายภาพแบบโบราณ

พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ชั้นที่ ๔ สกุล ณ นคร บุตร พระยา บริรักษ์ภูธร (แสง) ผู้เป็นบุตร เจ้าพระยาครศรีธรรมราช (น้อย)

พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) เป็นบุตรชายคนแรกในจํานวนบุตรธิดา ๒๗ คน ของ พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) เกิดที่เมืองไทรบุรีระหว่าง ที่บิดายังว่าราชการอยู่ที่นั่น ปีที่เกิดไม่ทราบแน่นอน หากแต่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงวินิจฉัยเอาไว้ว่า “ตัวพระยาบริรักษ์เองเกิดที่เมืองไทร บิดาเป็นเจ้าเมือง พระยา เสนานุชิตเก่าเป็นปลัด เมื่อแตกมาพอจําได้” คือ พอจะสันนิษฐาน ได้ว่า พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ว่าราชการเมืองไทรบุรีระหว่างปี พุทธศักราช ๒๓๖๔ – ๒๓๘๒ เข้าใจว่าพระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) คงเกิดราวต้นหรือกลางช่วงระยะเวลาดังกล่าว จึงทรงตรัสไว้ว่า
เมื่อแขกกบฏยึดเมืองไทรบุรีพอจําได้ พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ได้ปฏิบัติราชการช่วยบิดาอยู่ที่เมืองพังงา จนได้เป็นที่พระภักดีนุชิต ผู้ช่วยราชการ ต่อมาได้เลื่อนเป็น พระ ยาบริรักษ์ภูธร ผู้ว่าราชการเมืองพังงาแทนบิดาซึ่งถึงแก่อนิจกรรม ลงในปีพุทธศักราช ๒๔๐๔ ในตอนแรกพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ มีพระราชประสงค์จะโยกย้ายผู้ว่า ราชการเมืองในแถบนั้นตามลําดับอาวุโส เพราะเมืองพังงาได้รับ การยกฐานะเป็นเมืองใหญ่ ระดับเมืองโท มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ เมื่อผู้ว่าราชการเมือง คือ พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ถึงแก่

อนิจกรรม จึงได้มีท้องตราให้ย้าย พระยาเสนานุชิต (นุช) ผู้ว่า ราชการเมืองตะกั่วป่า มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองพังงาแทน และให้ พระภักดีนุชิต (ขํา) บุตร พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ซึ่งเป็นผู้ช่วย ราชการเมืองพังงา และเป็นหลานของพระยาเสนานุชิต (นุช) ไปเป็นผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า แต่พระยาเสนานุชิต (นุช) ขอพระราชทานรับราชการอยู่ที่เดิม จึงต้องเปลี่ยนคําสั่งให้ พระ ภักดีนุชิต (ขํา) เลื่อนเป็น พระยาบริรักษ์ภูธร เป็นผู้ว่าราชการ เมืองพังงาแทนบิดา ทําให้ต้องลดฐานะเมืองพังงาลงเป็นเมืองตรี เปลี่ยนฐานะเมืองตะกั่วป่าเป็นเมืองโทแทน

ในการเปลี่ยนแปลงตัวผู้ว่าราชการเมืองครั้งนั้น พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระองค์เจ้า หญิงปัทมราชที่เมืองนครศรีธรรมราช เล่าไว้ว่า โดยทรงอ้างถึง คราวที่กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร, พระองค์เจ้าคัคณางค์ยุคล, พระยาศรีสุริยวงศ์, พระยามนตรีสุริยวงศ์, พระยา ฤทธิไกรเกรียง หาญ และเจ้าจอมเป้า (เจ้าจอมในรัชกาลที่ ๔) น้องพระยาบริรักษ์ ภูธร (ขํา) กลับมาจากส่งเจ้าจอมมารดาน้อยใหญ่ และเจ้าจอม มารดาน้อยเล็กที่เมืองนครศรีธรรมราช ทั้งได้เยี่ยมเจ้าจอมมารดา นุ้ย (ทรงเรียก “ป้านุ้ย”) และเยี่ยมศพท่านผู้หญิงอินด้วย ในพระ ราชหัตถเลขาฉบับนั้นยังทรงเล่าว่าเมื่อเดือนแปดอุตราสาธข้างแรม คณะเจ้าเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายทะเลตะวันตก มีพระยาเสนานุชิต (นุช) เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยเครือญาติ มีพระภักดีนุชิต (ขํา) เจ้าจอมยี่สุ่น ในรัชกาลที่ ๓ และบุตรหลานในสกุล ณ นคร อีกหลายคนเข้ามายังกรุงเทพฯ เดินทางทางบกมาลง เรือที่ท่าทอง ด้วยเหตุที่การคมนาคมและการสื่อสารสมัยนั้นไม่ สะดวก ดังนั้นเพียงแต่พี่น้องอยู่คนละฝั่งทะเล ก็ไม่ค่อยทราบ ข่าวคราวกัน คณะของพระยาเสนานุชิต (นุช) ไม่ทราบข่าว ท่านผู้หญิงอินถึงแก่กรรมที่เมืองนครศรีธรรมราชเลย พร้อมกัน นั้นได้ทรงเล่าให้พระองค์เจ้าปัทมราชทราบว่าได้เลื่อนยศศักดิ์ พระยาเสนานุชิต (นุช) ให้สูงขึ้น และมีการแต่งตั้งเจ้าเมือง กรรมการในหัวเมืองชายทะเลฝ่ายตะวันตกในคราวเดียวกันนั้น

สําหรับเมืองพังงาได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระภักดีนุชิต (ขํา) ผู้ช่วยราชการเมืองพังงาขึ้นเป็นพระยาบริรักษ์ภูธร บวรสวามิภักดิ์ เสนามาตย์ราชมนตรี ตําแหน่งผู้สําเร็จราชการเมืองพังงา พระราชทานเครื่องยศ คือ ถาดหมากทองคํา คนโททองคํา ประคําทองคําสายหนึ่ง กระบี่บั้งทอง สัปทนปัสตูแดง และเสื้อเข้มขาบริ้วหนึ่งตัว

ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๓ ปลายชีวิตของพระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสเมือง พังงา ทรงชมเชยว่าเป็นผู้ว่าราชการเมืองที่มีระเบียบ รักษา บ้านเมืองดี ถนนหนทางไม่ปล่อยให้ทรุดโทรม เป็นเจ้าเมืองมา นานรอบรู้ราชการมาก ทรงซักถามอะไรเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง ตอบได้คล่องแคล่ว ไม่จน เมื่อเปรียบเทียบกับที่ทรงพบครั้งแรก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๑๔ ดูแก่ไปมาก ตาพิการเป็นต้อขาวทั้งสอง ข้าง มองเห็นภาพมัวๆ ไม่ชัด

สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพได้ทรงเล่าเรื่องพระยาบริรักษ์ ภูธร (ขํา) ไว้อย่างพิสดาร ดังนี้ เมืองพังงาสมัยนั้น เรียกได้ว่าเป็น ประวัติของคนคนเดียว คือ พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) บุตรของ พระยาไทรบุรี ลูกเจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งได้มาเป็นผู้ว่าราชการ เมืองพังงาคนแรก พระยาพังงา (ขํา) ดูเหมือนจะตั้งใจถ่ายแบบ เจ้าพระยานคร (น้อย) ไปประพฤติ คือ ซื่อตรง สิทธิ์ขาดและดูข้าง ดุร้าย ผู้คนพากันเกรงกลัวนับถือมาก

พระยาสโมสรสรรพการ (ทัด) ออกไปอยู่เมืองพังงา เมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๑๓ ขณะอายุได้ ๒๑ ปี ภายหลังกลับมารับ ราชการกรุงเทพฯ ได้รับราชการหลายตําแหน่ง ครั้งสุดท้ายเป็น นายพลโทเจ้ากรมยุทธโยธาทหารบก เมื่อยังหนุ่มพลัดออกไปอยู่ กับพระยาพังงา (ขํา) คราวหนึ่งมาเล่าเรื่องต่างๆ อันเป็นอภินิหาร ของพระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ให้ฟังหลายเรื่อง เช่นว่ามีเสือพลัด เข้ามาในเมืองพังงา พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) เกณฑ์ให้ราษฎรสาน แผงไปล้อมจับเสือได้ทั้งเป็น ไม่ต้องใช้เครื่องศัตราวุธ และเรื่องยิง จระเข้ พอพระยาพังงา (ขํา) ร้องว่า “ถูกแล้ว” ฝีพายต้องโดด ลงน้ำไปจับจระเข้ในทันที บางทีได้ขึ้นมา ไม่มีแผลถูกยิงเลย อีกอย่างหนึ่งว่าชอบสัตว์เลี้ยงต่างๆ ไม่เลือกว่าสัตว์อย่างไร เลี้ยงทั้งนั้น (ข้อนี้เป็นความจริง หม่อมฉันได้ไปเห็นเอง) แต่เล่าวิตถาร ออกไปว่า ถึงหัดไก่ไม่ให้ร้องกะต๊ากให้หนวกหู ถ้าไก่ตัวไหนร้อง กะต๊ากเมื่อใดก็ให้จับเอาหัวจุ่มน้ําจนสําลักแล้วจึงปล่อย จนไก่เข็ด

ยังมีเรื่องที่หม่อมฉันเคยได้ยิน พระยาชลยุทธฯ คือ กัปตันริซลิว ชาวเดนมาร์ค เข้ามารับราชการเมืองไทยเป็นกัปตันเรือสยามมงกุฎชัยวิชิต มีหน้าที่รับเงินภาษีเมืองพังงา เมืองตะกั่วทุ่ง เมือง ตะกั่วป่า และเมืองภูเก็ต ส่งกรุงเทพฯ เคยบังคับการเรื่องพระที่ นั่งเวสาตรี ภายหลังได้เป็น นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ เล่าว่า เมื่อครั้งพวกกุลีเป็นจลาจลที่เมืองภูเก็ตนั้น ข้าหลวงเรียก เจ้าเมืองใกล้เคียงมาประชุมปรึกษาที่จะปราบปรามข้าหลวง ถาม ความเห็นพระบริรักษ์ภูธร (ขํา) ว่าเห็นควรทําอย่างไร พระยา บริรักษ์ภูธร (ขํา) ตอบว่าควรให้ตัดหัวพระยาภูเก็ตเสีย ข้าหลวง เกรงใจ ยักคําถามใหม่ว่า ถ้ามีจลาจลเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองพังงา เจ้าคุณจะทําอย่างไร พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ตอบว่าเหตุเช่นนี้ จะเกิดขึ้นที่เมืองพังงาไม่ได้เป็นอันขาด ข้าหลวงเลยไม่ได้ความเห็นของพระยาพังงา

แต่มีเรื่องที่หม่อมฉันได้เห็นด้วยตาตนเองเรื่องหนึ่ง เมื่อสมเด็จ พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จไปเมืองพังงา ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๓ เวลานั้นพระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) แก่ชราแล้ว จักษุก็มืดมัวทั้งสอง ข้าง อุตส่าห์มารับเสด็จถึงเรือพระที่นั่ง พอพระยาชลยุทธฯ เดินขึ้นบันไดมา คนในเรือพระที่นั่งประหลาดใจกันทั้งลํา ด้วยไม่เคยเห็น พระยาชลยุทธฯ นบนอบนับถือใครเหมือนเช่นเคารพต่อพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) มูลเหตุเกิดแต่เมื่อพระยาชลยุทธฯ แรกเข้ามา รับราชการได้เป็นนายเรือรบไปรักษาการที่เมืองภูเก็ต ไปคุ้นเคย กับพระยาบริรักษ์แต่ครั้งนั้น ก็เลยนับถือ
ต่อมาเมื่อพระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ขึ้นมาถึงบนเรือพระที่นั่ง หม่อมฉันได้พูดจาสนทนาด้วยก็เห็นว่าเป็นผู้มีอัชฌาสัยดี น่านับ ถือ แต่เมื่อหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกมาขึ้นกระทรวงมหาดไทย (พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้มีประกาศในหน้าที่กระทรวงกลาโหมกับ กระทรวงมหาดไทย ให้บรรดาหัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก หัวเมือง ประเทศราช ขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น ส่วนกระทรวง กลาโหม ให้มีหน้าที่เกี่ยวกับการทหารทั้งหมด ทางทหารบก ทหารเรือ เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ ป้อม ค่ายคู อู่เรือรบ และ พาหนะสําหรับทหาร) พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ถึงอนิจกรรมเสีย แล้ว หม่อมฉันออกไปตรวจราชการถึงเมืองพังงา ศพยังอยู่ที่เรือน จึงได้ไปเห็นโขลงสัตว์ต่างๆ ของพระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ที่ยัง เหลืออยู่ แต่สังเกตดูบ้านเรือนที่อยู่ก็เป็นอย่างเรือนไทย ไม่ทําให้โอ่โถงอย่างใด เขาเล่ากันว่าไม่ใคร่เอาใจใส่ในการสะสมเงินทอง ก็จะเป็นความจริง

พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) เป็นคนรักษาแบบธรรมเนียมเก่า ไม่ค่อย เปลี่ยนแปลง การทําพลับพลารับเสด็จ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๓ ก็มีลักษณะการจัดตกแต่งโบราณกว่าเมืองอื่น เวลาล่วงมาสิบปียี่สิบปีก็รักษาไว้อย่างเดิม ลักษณะความเป็นอยู่ ในจวนที่พํานักบ่งบอกว่าเป็นคนมักน้อย เคยอยู่ปกติอย่างไร ก็อยู่อย่างนั้น

ความเป็นคนดุ เด็ดขาด ยังปรากฏจากคําบอกเล่าของพระยา สโมสรสรรพการ นอกเหนือจากที่สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุ ภาพได้ทรงเล่าไว้ เป็นต้นว่าการจับสัตว์ป่า เช่น ชะนี ต้องจับให้ได้ด้วยมือ ใครทําผิดต้องถูกตีด้วยหวาย ผู้ได้รับคําสั่งให้มีหน้าที่ตี ต้องตีให้แตก ถ้ายังมือตีเบาไป ท่านจะลงโทษผู้มีหน้าที่ดังกล่าว นั้น ในช่วงที่พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) เป็นผู้ว่าราชการเมืองพังงา นั้น มีเหตุการณ์ยุ่งยากในบริเวณหัวเมืองชายทะเลฝ่ายตะวันตก อยู่เสมอ ในเรื่องกรรมกรจีนพวกอั้งยี่ก่อการจลาจล ดังได้กล่าวใน การประชุมแก้ปัญหาอั้งยี่ที่เมืองภูเก็ตนั้น พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ได้แสดงความคิดเห็นเฉียบขาดต่อที่ประชุม เหตุการณ์รุนแรง เช่นนั้นมิใช่เกิดขึ้นเพียงเมืองภูเก็ตและระนองเท่านั้น แต่ยัง ลุกลามไปใกล้เมืองพังงาด้วย ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๒ พระอิศรา ธิไชย (กลิ่น ณ นคร) ผู้ว่าราชการเมืองกระบี่ ก็ถูกพวกจีนปล้น จวนที่พักและฆ่าตาย อีก ๒ ปีต่อมา พวกจีนได้ก่อความวุ่นวายที่ เมืองตะกั่วป่าด้วย การก่อความวุ่นวายแต่ละครั้งมักมีสาเหตุซับซ้อน มีการหนุนหลังจากหลายฝ่าย รวมทั้งข้าราชการระดับสูง แข่งผลประโยชน์กัน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ปรากฏมีที่เมืองพังงา

นิสัยชอบเลี้ยงสัตว์ก็เป็นเรื่องเด่นที่ใครๆ กล่าวขวัญถึง เพราะ พังงาเป็นเมืองมีป่าเขามาก สัตว์ป่าอุดม ดังปรากฏในประวัติพระ ยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ที่สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพทรงเล่า ดังกล่าวมาแล้ว มีเสือ จระเข้ชุกชุม พระยาสโมสรสรรพาการขณะ มีอายุ ๒๐ – ๒๑ ปี ไปเมืองพังงาเล่าว่า ขณะอยู่ที่เมืองพังงา ตื่น เช้าขึ้นก็ได้ยินเสียงชะนีร้องโหยหวน เสียงไก่ป่าขุนเจื้อยแจ้วทั้ง เช้าค่ํา ความที่มีสัตว์ป่าอุดม ประกอบกับเจ้าเมืองมีนิสัยรักการ เลี้ยงสัตว์ ในจวนจึงมีสัตว์เลี้ยงนานาชนิด พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าว่าได้ทอดพระเนตรเห็นนกเขา นกพิราบฝรั่ง และนกอื่นๆ ในบริเวณจวนเจ้าเมือง ในหอนั่งมี สัปคับช้างเต็มไปหมด ตอนเสด็จพระราชดําเนินออกจากเมืองพังงา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๓ พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ยังถวาย ลิงเสนตัวหนึ่ง หน้าแดง หนวดยาว เล่าว่าจับได้จากเขาแก้วเม่าเล็ก สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพได้ทรงเล่าว่า เมื่อเสด็จ ตรวจราชการที่เมืองพังงา หลังจากพระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ถึง อนิจกรรมใหม่ๆ ยังมีสัตว์อยู่ในจวนอีกมาก ดังได้กล่าวมาแล้ว ข้างต้น

นอกจากเป็นนักเลงสัตว์เลี้ยง พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ยังมีสวน ดอกไม้อย่างดีด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง ตรัสว่า “เลี้ยวทางข้างริมน้ำเข้าบ้านเจ้าเมืองเข้าในระเนียดไม้กระดาน มีต้นไม้ดอกต้นโตๆ บุนนาคงามอย่างยิ่ง ๓ ต้น พิกุล กําลังดอกเต็มทุกกิ่ง ลําดวนก็กําลังดอก ดูเป็นนักเลงต้นไม้จริง”

ตามที่กล่าวมาทั้งหมด เห็นได้ว่า พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) เป็นคน มักน้อย ใช้ชีวิตเรียบง่าย ในด้านครอบครัว มีบุตรธิดาเพียง 4 คน เท่านั้น

พระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ดํารงตําแหน่งผู้ว่าราชการเมืองพังงา ประมาณ ๓๓ ปี เป็นระยะเวลานานยาวนานจนถึงระยะที่มีการ ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพได้ ทรงเล่าไว้ว่า เมื่อโอนหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกมาขึ้นต่อ กระทรวงมหาดไทย ทรงดํารงตําแหน่งเสนาบดีกระทรวงนั้น (ประกาศตั้งเสนาบดีลง วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ และมีการ โอนหัวเมืองปักษ์ใต้ซึ่งเดิมขึ้นต่อกระทรวงกลาโหม มาขึ้นต่อ กระทรวงมหาดไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗) ได้เสด็จไปตรวจราชการที่ เมืองพังงาพบว่า ศพพระยาบริรักษ์ภูธร (ขํา) ยังคงเก็บไว้ที่เรือน คือถึงอนิจกรรมก่อนหน้านั้นไม่นานนัก หรือหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมือง พังงาครั้งหลังประมาณ ๓ – ๔ ปี

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.