ซื้อรถมือสองต้องดูอะไรบ้าง
ในเมื่อรถใหม่เอี่ยม ราคาแพงเกินเอื้อม จะควักกระเป๋าซื้อรถเก่าก็ไม่ว่ากันดอก ขอแค่ดูตาม้าตาเรือ ในเรื่องต่อไปนี้ดูหน่อยเป็นไร
-
เช็คดูสนิม
ใช้แม่เหล็กตรวจไปรอบๆ ตัวถึง จุดกว้างบริเวณใดที่แม่เหล็กไม่สัมผัส หมายความได้ว่า รถมีสนิมเขรอะ (หรือชนยับมาแล้ว) และได้รับการซ่อมแบบขอไปที ด้วยการปะผุ โปรดระวัง รอยปูดเป็นตุ่มของสนิม ที่จะแพร่ลามไปในไม่ช้า บางทีอาจเป็นได้ว่า โครงรถทั้งคันอ่อนเต็มทีแล้ว
-
ตรวจดูน้ำมันรั่วไหล
ในขณะที่ยกรถขึ้นขาหยั่ง ให้ตรวจดูว่ามีน้ำมันรั่วไหลหรือไม่ น้ำมันที่หยดเป็นดวงๆ ใต้เครื่อง อาจหมายถึง เวลาที่จะต้องเปลี่ยนยางหุ้มใหม่ก็เป็นได้ ตรวจดูขอบยางบุทั้งหลายใต้ตัวถัง ว่ามีอันไหนห้อยระย้าหลุดรุ่ย
-
ตรวจยาง
เวลารถจอดอยู่กับพื้นเฉยๆ ให้ตรวจดูว่ายางทั้งห้าเส้น (รวมยางอะไหร่) เป็นยางชนิดเดียวกันหรือไม่ (ยางเรเดียลหรือยางธรรมดา) ขนาดความลึกของเส้นใยยางจากความกว้างทั้งหมด ควรไม่ต่ำกว่า 0.04 นิ้ว (1 มิลลิเมตร)
-
ระบบความยืดหยุ่น
ลองทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดกดลงที่มุมรถแต่ละมุม เวลาปล่อย รถควรโหย่งกลับสู่ระดับเดิม แต่ถ้ายังสะเทือนขึ้นลงไม่หยุด ควรเตรียมใจซ่อมระบบ
-
ประตู หน้าต่าง ฝากระโปรง
ตรวจดูว่าประตู หน้าต่าง และฝากระโปรงเปิดปิดได้ดี มีกุญแจไขเข้าออกได้สะดวกทุกจุด
- ดูเบาะ ดูสนิม
ตรวจความชำรุดของเบาะนั่ง เลิกพรมรองเท้าขึ้นดู แม้รอยสนิมเพียงเล็กน้อยบนพื้นรถ ย่อมบ่งบอกได้ว่าน้ำรั่วเข้ารถได้.. หรือไม่ก็จะเข้าในไม่ช้านี่หละ -
ระบบไฟฟ้าต่างๆ
ตรวจดูระบบไฟฟ้าต่างๆ ได้แก่ สัญญาณไฟ, เข็ม, หน้าปัด ย้ำกับคนขายเสียด้วยล่ะว่า ราคาวิทยุ รวมอยู่กับรถเสร็จสรรพแล้วใช่ไหม
-
ตัวเลขบอกระยะทาง
ตรวจดูตัวเลขบ่งบอกระยะทาง ว่าใกล้เคียงกับประวัติรถที่เห็นในทะเบียนหรือเปล่า? คนขับรถโดยทั่วไปจะใช้รถประมาณปีละ 50,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นรถบริษัท ย่อมมีระยะทางใช้งานเพิ่มมากเข้าไปอีก คนขายที่หมุนตัวเลขบอกระยะทางกลับไป ถือว่าจิตใจไม่บริสุทธิ์
-
ห้องเครื่องรถยนต์
ตรวจตราดูห้องเครื่องยนต์ซิว่า มีร่อยรองการซ่อมแซมมารึเปล่า เช่น รอยพ่นสีหรือเชื่อมใหม่ รถที่มีเครื่องยนต์สะอาดเอี่ยมผิดปกติ ใต้ฝากระโปรงอาจได้รับการเปลี่ยนเครื่องใหม่
-
ตรวจดูน้ำรั่วจากเครื่องยนต์
การเปลี่ยนสายยางหม้อน้ำเป็นเรื่องธรรมดา แต่หม้อน้ำรั่วนี่สิที่จะต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่.. ไม่ใช่ราคาถูกๆ ด้วยซี ตอนนี้ลองติดเครื่องทิ้งไว้ เพราะบริการขายรถยนต์มักชอบเติมน้ำมันและตั้งเครื่องไว้แรงๆ เพื่อปิดบังเครื่องยนต์ที่ทำท่าจะพังแหล่ รอให้รถอุ่นเครื่องอยู่นานพอควรจนเข้าที่ ค่อยจับหาเสียง
-
กระบอกสูบ
ระหว่างนี้ ให้ตรวจดูว่ามีหยดน้ำหรือโฟมสีเทาลองฟ่องหรือไม่ อาจบ่งชี้ถึงกระบอกสูบตันได้
-
ฝากรองน้ำมัน
ยกฝากรองน้ำมันขึ้นดู ควันหรือไอกรุ่น บ่งถึงการใช้งานนานเกินอายุรถ อาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนเครื่องแล้วก็เป็นได้
-
ควันดำจากท่อไอเสีย
หลังจากติดเครื่องทิ้งไว้ห้านาที เร่งเครื่องดู ควันดำจากท่อไอเสีย อาจหมายถึงแค่ค่าบูเรเตอร์ไม่ดี วันสีฟ้าเป็นสัญญาณอันตรายว่า จะต้องซ่อมเครื่องที่ใกล้พังราคาแพงแน่ๆ
-
หม้อน้ำ
ดับเครื่อง ขณะที่เครื่องเย็นลง ใช้ผ้าห่อมือเปิดฝาหม้อน้ำออกอย่างเบามือ ถ้ามีน้ำมันติดมือมาหรือน้ำเดือดปุด ทำใจไว้ได้เลยว่า เจอเรื่องเดือนร้อนแน่อย่างน้อยก็ขอบยางรั่ว หรือหนักข้อถึงลูกสูบตันหรือแยก
-
แบตเตอรี่
ตรวจดูแบตเตอรี่ด้วยการเปิดไฟทิ้งไว้สัก 2-3 นาที และดูว่ารถติดเครื่องง่ายหรือไม่ จากนั้นให้นำรถไปลองขับดู ควรลอบขับขึ้นที่ชัน ถนนขรุขระ เพื่อฟังดูเสียงกราวกรีดผิดปรกติ และลองขับเร็วจี๊ดดูสักช่วงนึงด้วย
-
ระบบเบรค
ทดสอบเบรคดู ถ้าคุณต้องเหยียบเบรคจนจมมิดสุดเท้า หรือรถเซปัดไปข้างๆ เวลาคุณเบรค หรือเบรคส่งเสียงดังพิกล.. ก็ต้องซ่อมกันอีกสิเนี่ย
-
ฟังเสียงไม่พังประสงค์
เสียงเอี๊ยดจากล้อหน้าเวลาเลี้ยวโค้งอาจเป็นผลจากปัญหาเรื่องพวงมาลัยรถ
-
เกียร์
เงี่ยหูฟังเสียงคล๊องแคล็งเวลาเปลี่ยนเกียร์ รวมทั้งอาการเกียร์กระตุกเวลาเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งหมายความถึงปัญหาห้องเครื่องเกียร์ และลองเร่งเครื่องดูเวลาใช้เกียร์ทุกเกียร์สลับกันไป เสียงเครื่องน็อคครืดตอนเร่งเครื่อง บ่งให้รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนลูกปืนวงแหวนแล้ว
-
ถ่วงล้อ
ลองขับดูด้วยความเร็วแบบสบายๆ ถ้าพวงมาลัยเฉแสดงว่า ควรตั้งถ่วงล้อใหม่ได้แล้ว
-
คลัชท์
ขับรถขึ้นที่ชันแล้วปล่อยให้รถไหลลงมา ลองใช้เบรคมือดู รถควรหยุดทันที ถ้าค่อยๆ หยุดยังกะไม่เต็มใจ แสดงว่าควรเปลี่ยนคลัชท์ใหม่ได้แล้ว
เอ้อ… กว่าจะตัดสินใจเลือกซื้อรถเก่าได้ ก็คงต้องเหนื่อยกันหน่อยล่ะค่ะ จะได้ไม่เดือดร้อน เรียกช่างตามซ่อมรถของคุณ เวลาเครื่องดับกลางครันไงคะ