“ยุทธนา มุกดาสนิท” เมื่อบัลลังก์ที่จริงแท้เป็นเพียง ‘บัลลังก์เมฆ’
จุดแรกเริ่มของ “บัลลังก์เมฆ” ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว นั่นคือการเป็นบทโทรทัศน์ฟอร์มใหญ่เพื่อจะออนแอร์ยาวนานถึง 4 เดือนติดต่อกัน เกิดจากความตั้งใจของผู้บริหารระดับสูงของเอ็กแซ็กท์ทั้งคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และคุณวานิช จรุงกิจอนันต์ ซึ่งอยากให้ละครเรื่องนี้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ชม กับเรื่องราวชีวิตที่เข้มข้นของ “ปานรุ้ง” ในครั้งนั้นรับบทโดย “ภัทราวดี มีชูธน” และโครงบทแรกเริ่มของ ‘บัลลังก์เมฆ’ จึงเกิดจากการคิดของผู้กำกับชั้นยอดของเมืองไทยอย่าง …ยุทธนา มุกดาสนิท
จุดกำเนิดของ “บัลลังก์เมฆ”
ได้รับมอบหมายให้เขียนบทละครโทรทัศน์ยิ่งใหญ่สักเรื่อง สำหรับละครไทยก็ต้องอย่าง “สี่แผ่นดิน” ถ้าไม่ใช่เรื่องในวัง ก็ควรจะสะเทือนใจและประทับใจอย่าง “โอชิน”(สงครามชีวิตโอชิน เป็นละครชุดญี่ปุ่น ออกฉายในปี พ.ศ. 2526) เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่ผจญอะไรต่างๆ แล้วก็คิดถึงเรื่อง Godfather ขึ้นเลยคิดว่าถ้าเป็น Godmother ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 17 – 70 ปี ผ่านช่วงชีวิตและเหตุการณ์บ้านเมือง เริ่มเรื่องตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2490 เกิดสงครามโลกมาถึงสงครามเวียดนาม และเหตุการณ์ 16 ตุลาฯ แล้วเรื่องของ ‘ปานรุ้ง’ ก็ส่งผลไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่ผู้หญิงคนนี้อยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างเหมือน Godfather จึงกลายเป็นเรื่องราวของ ‘ปานรุ้ง สมุทรเทวา’ จากหญิงสาวร่ำรวยแล้วมีชีวิตตกต่ำมาจนถึงต้องเร่ขายล็อตเตอรรี่อยู่ข้างถนน แต่ชีวิตก็ผกผันกลับขึ้นมาอีกจนได้เป็นคุณหญิง แม้สุดท้ายสิ่งที่หวังกลับไม่เป็นดังหวังแล้วเธอก็ตายไปในที่สุด แต่เธอได้เรียนรู้อะไรมากมายจากประสบการณ์ชีวิตและช่วงของเธอ
ใจความหลักของเรื่อง
Theme super objective คือ ‘รักเกินรักมักทำลาย’ กำหนดไปเลยเพราะผมเป็นเจ้าของบทประพันธ์โดยจะเขียนเป็นโครงเรื่องตั้งแต่ต้นไปถึงจบก่อน แล้วส่งต่อทีมเขียนบทโทรทัศน์ที่รับช่วงต่อไป เพราะฉะนั้นประเด็นของเรื่องที่ชัดเจน love and possession ความรักและการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในทางที่ผิดจะทำลายคนๆ นั้นเองนี่คือข้อคิดที่ว่า ‘ปานรุ้ง’ เข้าใจว่าเธอสามารถครอบครองได้ทุกอย่าง แต่จริงๆ แล้วทุกสิ่งเป็นแค่เมฆที่จับต้องไม่ได้ ต้องสูญสลายไปในที่สุด
เมื่อ ‘บัลลังก์เมฆ’ กลายเป็นละครเวที
ถือว่าทำได้ใน Theme เดียวกันและมีความรู้สึกว่าละครเวทีมีเสน่ห์มาก เพราะเป็นการแสดงสด โดยเฉพาะการที่ตัวละครมีเรื่องราวชีวิตที่ผกผันตั้งแต่อายุ 17 – 70 ปี แต่สามารถเล่าเรื่องได้ภายใน 2 ชั่วโมงแล้วผู้ชมเข้าใจโดยไม่ใช้เทคนิคตัดต่อของหนัง แต่เป็นการดูเวลาจริงตอนที่นักแสดงแสดงอยู่ขณะนั้น แสดงว่าผู้ชมได้สัมผัสตัวจริงๆ เลือดเนื้อจริงๆ แล้วยิ่งก้าวเข้าสู่ละครเพลง ยังรวมอีก 2 สิ่งเข้ามาซึ่งไม่ใช่แค่การแสดงอย่างเดียว แต่ยังมีการร้องและการเต้นซึ่งประกอบไปกับการบรรเลงดนตรีสด ถือได้ว่าละครเพลงได้รวบรวมศิลปะต่างๆ เข้าด้วยกันทั้งหมด และ “บัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิคัล” ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว ถึงแม้เวอร์ชั่นแรกจะยาว แต่การกลับมาครั้งนี้เห็นว่าจะกระชับขึ้นอีก แสดงว่าทางผู้สร้างย่อมมีความพร้อมและผู้ชมต้องประทับใจอีกครั้ง
สิ่งที่เป็นเสน่ห์ ‘บัลลังก์เมฆ’ จึงกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เพราะเรื่องนี้พูดถึงสัจธรรม ซึ่งครอบคลุมกลุ่มคนทุกกลุ่ม คือถ้ากลุ่มวัยรุ่นก็สามารถดูรุ่นลูกได้ ขณะเดียวกัน “ปานรุ้ง” ก็เป็นลูกมาก่อนในตอนต้นเรื่องของ ‘บัลลังก์เมฆ’ พูดถึงความรักคลุมในทุกนัย ตั้งแต่ความรักระหว่างลูกกับพ่อ-แม่ ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย และระหว่างรุ่นแม่กับลูก เรื่องราวคลอบคลุมครบทุกวัย ถือได้ว่าบังเอิญที่เรื่องเป็นอย่างนั้น (ยิ้ม)
โครงการต่อไปในอนาคต
มีโครงการทำละครเวทีมิวสิคัลเช่นกัน แต่เป็นบทดัดแปลงมากกว่าจะแต่งเองแบบนี้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่นักประพันธ์ อย่างทำหนังมา 15 -16 เรื่อง เขียนเรื่องเองอยู่ 1 – 2 เรื่อง นอกนั้นเป็นบทดัดแปลง อย่างตอนทำหนัง เช่น “คู่กรรม” หรือ “น้ำพุ” เรานำเรื่องของเขามาพัฒนาได้ง่ายกว่า(ถาม: เป็นแนวชีวิตเข้มข้นไหม?) ก็จะเป็นละครเพลง ออกแนวชีวิตเข้มข้นปานกลาง ตอนนี้มีเรื่องไว้แล้วเหมือนกัน คุยกับบอย (ถกลเกียรติ) ไปบ้างแล้ว
อลังการเปิดม่าน “บัลลังก์เมฆฯ”
“สินจัย” ยังครองแชมป์ “เรียกน้ำตา”
เคยสร้างปรากฏการณ์ “ทอล์คออฟเดอะทาวน์” ไว้เมื่อ 5 ปีก่อน สำหรับละครเวทีฟอร์มยักษ์ “บัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิคัล” ล่าสุดบิ๊กบอสซีเนริโอ บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ นำกลับมาเรียกน้ำตาคนดูอีกครั้ง ก็ยังคงครองความประทับใจเหมือนเดิม!!
โดยในรอบเพรส เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา ทันทีที่ม่านโรงละคร “เมืองไทยรัชดาลัย” เปิดฉาก กองทัพนักข่าวก็ได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ตระการตาของฉากเปิดตัว นก-สินจัย ในบท “ปานรุ้ง” สาวนักเรียนนอกสุดเปรี้ยว เห็นได้เลยว่านกฟิตปั๋งกว่าเมื่อ 5 ปีก่อน ทั้งร้องทั้งเต้น พริ้วกว่าเก่า ทำเอาคนดูนั่งมองกันตาค้าง แต่เมื่อถึงฉากดราม่า นก ก็ทำคนดูอินจนน้ำตาร่วง!! ซึ้งหัวอกของคนเป็นแม่
ส่วนสามีทั้ง 3 เริ่มจาก ดุ๊ก-ภาณุเดช ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยกังวลในเรื่องของฉากเต้นรำ แต่ในโชว์นี้ดุ๊กกลับวาดลีลาประกบนกได้อย่างคล่องแคล่วไม่มีสะดุด ด้านหมู-กลศ อัทธเสรี สามีสุดเพลย์บอลก็ไม่ยอมน้อยหน้า ขนท่าเต้นและมุขฮามาฝากคนดูเพียบ แต่ที่ออกมากระชากอารมณ์ให้เศร้าสะเทือนใจสุดๆ ต้องยกให้ กบ-ทรงสิทธิ์ ที่มารับบท “เกื้อ” สามีผู้ต้อยต่ำของนก เพราะฉากที่นกหอบผ้าหอบผ่อนทิ้งกบไปพร้อมกับลูก กบเล่นได้น่าสงสารจับใจเหลือเกิน เห็นหลายๆ คนนั่งปาดน้ำตากันเป็นแถว ส่วนลูกๆ ทั้ง 4 ต่างโชว์ฝีมือประชันรุ่นใหญ่ได้อย่างเข้มข้น เริ่มจาก เจสัน ยัง ในบท “ปานเทพ” ลูกชายคนโตหัวดื้อ เมื่อต้องเข้าฉากปะทะอารมณ์กับนก เจสันก็โชว์พลังได้อย่างน่าทึ่ง ด้านเต้-ปิติศักดิ์ ก็เรียกคะแนนสงสารจากคนดูด้วยบท “ปรก” ลูกชายที่แม่ไม่รักได้อย่างลึกซึ้งกินใจ พอถึงจังหวะเต้ครวญเพลง “คนไม่สำคัญ” คนดูเลยพากันปี่แตก!! ส่วนมด ทรีจี ในบท “ปานวาด” ลูกสาวใจแตกของนก ใครยังไม่เคยเห็นมดในลุคเปรี้ยวซ่าก๋ากั่นต้องรับไปดู แถมเธอยังโชว์พลังเสียงในเพลง “ฉันทำผิดเอง” ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ แพท-สุธาสินี ที่เคยทำไว้ด้วย ปิดท้ายที่ บี้ เดอะสตาร์ ดูเหมือนบี้จะพัฒนาฝีมือการแสดงได้อย่างน่าทึ่ง จนทำให้หลายคนประทับใจกับบท “ปกรณ์” ลูกชายคนเล็กที่แม่รักมากที่สุด แต่สุดท้ายกลับก่อโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจแม่ที่สุด
“บี้” หน้าบาน!!
“บัลลังก์เมฆฯ” ทำ “พ่อแม่” ภูมิใจ
ไม่เคยคิด ไม่เคยฝันมาก่อนว่าตัวเองจะได้รับเสียงปรบมือกึกก้องทุกรอบการแสดงละครเวที “บัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิคัล” งานนี้ทำเอาหนุ่มบี้-สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ถึงกับยิ้มหน้าบานที่กระแสตอบรับดีเกินคาด สำหรับผลงานละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต และที่สำคัญยังทำให้พ่อแม่ภูมิใจอีกด้วย
บี้ พูดถึงฟีดแบคที่ได้รับให้ฟังว่า “สำหรับฟีดแบคบัลลังก์เมฆฯ ต้องบอกว่าดีมากๆ ครับ(ยิ้ม) หลายคนเดินเข้ามาหาผมแล้วก็บอกว่า ชอบมาก ทั้งฉาก ทั้งพล็อตเรื่อง และนักแสดง ดูแล้วประทับใจมาก และจะกลับมาดูอีกให้ได้ พอผมได้ยินแล้ว ก็ปลื้มใจยิ้มไม่หุบเลยครับ คือผมมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เราทุ่มเทและตั้งใจฝึกซ้อมมาตลอด 6 เดือน มันคุ้มค่ามากๆ พอมาถึงวันนี้มีแต่คำชื่นชม แล้วก็ความประทับใจตอบกลับมา บอกตามตรงว่าหายเหนื่อยครับ สำหรับคนที่เคยดูเวอร์ชั่นที่แล้ว เค้าก็จะบอกว่าครั้งนี้ดำเนินเรื่องเร็ว เข้มข้น กระชับดี ส่วนคุณพ่อคุณแม่ผมที่มาให้กำลังใจ ท่านก็ชอบกันมากๆ ครับ ชมว่าเล่นเก่งดีนะ คงเป็นเพราะที่บ้านยังไม่เคยมีใครเห็นผมเล่นละครสดๆ แบบละครเวทีอย่างนี้ด้วย เค้าก็เลยตื่นเต้นกันใหญ่ และลุ้นไปกับการแสดงของเราตลอดทั้งเรื่อง ก็รู้สึกดีใจครับที่พ่อแม่ภูมิใจในตัวเรา ส่วนตัวผมเองกับผลงานชิ้นนี้ บอกได้เลยครับว่าพอใจและภูมิใจมาก ก็ต้องขอขอบคุณทุกคำติชมจากใจจริง ส่วนใครที่ยังไม่ได้มาดู ผมก็อยากเชิญชวนให้ลองมาดูกันครับ รับรองว่าสนุก ดูไม่ยาก และยังได้แง่คิดดีๆ กลับไปด้วย”
“สินจัย” หายเหนื่อย!!
“เสียงปรบมือ” คือกำลังใจ
ก่อนเปิดม่าน “บัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิคัล” ให้แฟนๆ ได้ชมกัน นก-สินจัย ซ้อมไปก็ลุ้นไปว่า บัลลังก์เมฆฯ จะกลับมาสร้างความประทับใจได้เหมือนเดิมหรือไม่? แต่หลังจากที่ได้รับเสียงปรบมือกึกก้องทุกรอบการแสดงที่ผ่านมา ก็ทำเอานก เป็นปลื้มหายห่วงหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง!!
นก เล่าถึงฟีดแบคให้ฟังว่า “ฟีตแบคดีมากๆ ค่ะ ไม่แพ้คราวที่แล้วเลย (ยิ้ม)มีความรู้สึกว่าบัลลังก์เมฆฯ กลับมาครั้งนี้ ดูจะเป็นที่สนใจของประชาชนเยอะกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำ เพราะครั้งนี้นอกจากคนดูจะได้ชมละครเวทีที่อลังการไปด้วยแสง สี เสียง และฉากที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังจะได้สัมผัสกับโรงละครใหม่ที่ได้มาตรฐานด้วย ดูแล้วได้อรรถรส เลยทำให้กระแสตอบรับดีมากขึ้นไปอีก ซึ่งคนรอบข้างนกก็ชื่นชม และก็ให้กำลังใจกันเข้ามาเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็บอกว่าเวอร์ชั่นนี้ กระชับดี และยังคงความประทับใจเหมือนเดิม ดูแล้วอินซาบซึ้งกินใจ เสื้อผ้าและฉากก็ทำได้สวยมาก พอเราได้ฟังก็รู้สึกดีใจปลื้มใจ เหมือนเป็นกำลังใจทำให้เราหายเหนื่อยหายกังวลไปเลย ส่วนฟีดแบคคนใกล้ตัวอย่าง พี่นกชาย(ฉัตรชัย เปล่งพานิช)กับ น้องกันย์(สิทธิโชค เปล่งพานิช) ก็มาดูแล้วชื่นชม บอกว่าชอบมาก(ยิ้ม) ส่วนตัวนกเอง ก็รู้สึกพอใจมากนะสำหรับฟีดแบคการกลับมาของบัลลังก์เมฆฯ ในครั้งนี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันลงตัว พร้อมและสมบูรณ์แบบไปหมด ก็คิดว่าตอนนี้หลายๆ คนที่ได้ดูแล้ว คงจะบอกเล่าความประทับใจต่อๆ กันไป ส่วนใครที่ตั้งใจว่าจะต้องมาดูให้ได้ คงต้องรีบจองบัตรหน่อยแล้วค่ะ เพราะตอนนี้บัตรวิ่งเร็วมาก ระวังที่นั่งดีๆ จะหายากนะคะ”
ครอบครัวเปล่งพานิช น้องกัน ฉัตรชัย มาดูละครเวที บัลลังก์เมฆ
“พี่เบิร์ด” ธงชัย นำทีมผู้บริหารระดับสูงของ แกรมมี่ มาร่วมให้กำลังใจแก่ “คุณบอย” ถกลเกียรติ ในรอบ “ปฐมทัศน์” ของละครเวทียิ่งใหญ่ “บัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิคเคิล” อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา