เป็นคำถามที่ตอบยาก หากมีใครถามว่า “คุณบ้างานเกินไปหรือเปล่า” นอกจากจะยอมรับเสียงสะท้อนจากคนรอบข้างแบบฟังหูไว้หู แล้วค่อยนำข้อมูลมาประมวลด้วยตัวเอง แม้จะได้ผลลัพธ์แบบไม่ตรงไปตรงมาเท่าไหร่ แต่ก็พอจะทำให้คุณได้เห็นภาพสะท้อนของตัวตนที่แท้จริงออกมาในบางแง่มุม
จริงๆ แล้วการขยันในหน้าที่การงานของตนเองถือเป็นเรื่องดี เพราะนอกจากจะเกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว องค์กรที่สังกัดอยู่ย่อมมีอัตราความก้าวหน้าสูงเป็นเงาตามตัว ถึงอย่างนั้น คุณก็ต้องคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่า ชีวิตนั้นไม่ได้มีเพียงด้านเดียว และการจัดการชีวิตทุกด้านให้ลงตัวนั้น มีความสำคัญมากกว่า
แบบทดสอบต่อไปนี้ คือเครื่องมือวัดระดับความขยันขันแข็งของคุณ ว่าชอบอู้งานมากเกินเหตุ เป็นไปตามมาตรฐานปกติ หรือบ้างานจนไม่ลืมหูลืมตา โดยไม่ต้องอาศัยการฟังความรอบข้างให้มากเรื่อง เพียงแค่ตอบคำถามอย่างไม่มีเงื่อนงำ แล้วข้อเท็จจริงอีกด้านที่ซ่อนอยู่ก็จะปรากฏให้คุณได้รู้อย่างหมดเปลือก
-
1.ทันทีที่ได้รับมอบหมายงานชิ้นใหม่ปฏิบัติ คุณมีวิธีจัดการและเรียงลำดับการทำงานอย่างไร
ก.ศึกษาในรายละเอียดและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ก่อนวางแผนทำงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นไปตามคาดหมาย
ข.เทียบเคียงกับแผนงานเดิมที่ผ่านมาแล้ว หากโครงการใดมีรายละเอียดใกล้เคียงกัน ก็สามารถนำแผนงานเก่ามาประยุกต์กับแผนงานใหม่ได้
ค.ถึงพยายามทำความเข้าใจ แต่คุณก็พบปัญหาที่จะตามมามากมาย แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่นัก หากคุณสามารถหาที่ปรึกษาซึ่งมีประสบการณ์ -
2.ความรู้สึกแรกของคุณ เมื่อเจ้านายเรียกเข้าไปมอบหมายงานใหม่
ก.ดีใจที่เจ้านายให้ความสำคัญและไว้วางใจ รวมทั้งจะตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ข.ถือเป็นเรื่องท้าทายความสามารถ และเป็นเดิมพันเกี่ยวกับความก้าวหน้าในอนาคต แต่ก่อนจะเริ่มต้นอะไรลงไป ก็ต้องมั่นใจและไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม
ค.ถึงจะมีความประหม่าเกิดขึ้นในใจ แต่ก็ต้องซ่อนเอาไว้ให้มิดชิด แต่ยังอดคิดไม่ได้ว่า มันจะเกินกำลังความสามาถของตัวเองหรือเปล่า -
3.ถามจริงๆ เถอะว่า คุณมีทัศนะคติต่อเจ้านายปัจจุบันคุณอย่างไร
ก.หากเป็นเรื่องงานแล้วหล่ะก็ ต้องสู้กันด้วยเหตุและผลอย่างเต็มที่ โดยไม่เก็บเอาเรื่องเสียหน้าหรือถูกลบเหลี่ยมในที่ประชุมเก็บมาคิดภายหลังจากนั้น
ข.ให้เกียรติเพราะตำแหน่งหน้าที่การงานอันเหนือกว่า แต่เมื่อถึงเวลาแสดงความคิดเห็นก็ต้องแสดงออกอย่างเต็มที่ โดยคำนึงถึงประโยชน์ขององค์กรสูงสุด
ค.ด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิที่มากกว่า คุณต้องรู้จักนอบน้อมและเข้าหาเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ อันเป็นประโยชน์สำหรับตนเอง -
4.ถ้าคุณพบความผิดปกติในการทำงานของคนในองค์กร โดยมีการลักลอบหรือยักยอกทรัพย์สินของบริษัทอย่างลับๆ คุณจะจัดการด้วยวิธี…
ก.รายงานปัญหาดังกล่าวให้เจ้านายเบื้องบนได้ฟังอย่างละเอียด เพื่อจะได้ยุติพฤติกรรมร้ายที่กำลังบ่อนทำลายองค์กรอยู่
ข.การยักยอกทรัพย์สินของบริษัทฯ ลำพังคนเพียงคนเดียวไม่น่าเกิดขึ้นได้ แต่น่าจะเป็นความร่วมมือของบุคคลหลายฝ่าย ฉะนั้นคุณต้องรอบคอบก่อนลงมือจัดการใดๆ ลงไป
ค.ปล่อยเลยตามเลย เพราะเราเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ ภายในองค์กรเท่านั้น และหากทำอะไรกระโตกกระตากไป ผลร้ายอาจตกอยู่ที่คุณคนเดียว -
5.คุณมีวิธีปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไร เพื่อให้บุคลากรทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถ
ก.ความเด็ดขาดและเป็นธรรมถือเป็นหัวใจสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงความสนิทชิดเชื้อใดๆ แล้วทุกคนซึ่งทำงานด้วย จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
ข.แต่ละคนพื้นฐานทางความคิดแตกต่างกัน ฉะนั้น การทำความเข้าใจเพื่อปรับทัศนคติให้ตรงกัน จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
ค.ใช้งานลูกน้องแต่ละคนตามความสามารถ อย่าไปฝืนให้ผู้บังคับบัญชาลองทำอะไรให้ผิดไปจากเดิม -
6.ทุกครั้งที่งานไม่บรรลุตามเป้าหมาย สิ่งแรกที่คุณจะต้องรีบทำคืออะไร
ก.หาสาเหตุความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในเนื้องานให้พบ ก่อนที่จะหันกลับมาพิจารณาถึงความบกพร่องของตนเองว่า ขาดความละเอียดรอบคอบในขั้นตอนไหน
ข.เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนเข้าประชุม เพื่อระดมสมองหาต้นตอของปัญหา ก่อนที่จะช่วยกันวางแผนแก้ไข และจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว
ค.นั่งหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง โดยตั้งคำถามว่า ทำไมจึงไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งหาสาเหตุผลน่ารับฟังเอาไว้แก้ตัวกับเจ้านาย -
7.เมื่องานที่ได้รับมอบหมายลุล่วงไปตามกำหนด คุณเลือกจะชื่นชมความสำเร็จด้วยหนทางใด
ก.นั่งเงียบๆ ตามลำพังตรงโต๊ะทำงาน พร้อมทั้งประมวลขั้นตอนการปฏิบัติที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นบทเรียนสำหรับงานครั้งต่อไป
ข.เลี้ยงสังสรรค์กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อสร้างเสริมกำลังใจในการทำงานร่วมกัน แม้จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างในเนื้องาน แต่คงไม่ใช่สิ่งที่ต้องใส่ใจในขณะนั้น
ค.ชวนพรรคพวกที่อยู่ในระดับเดียวกันไปดื่มหรือรับประทานอาหาร เพื่อฉลองความสำเร็จ รวมทั้งเป็นการสานเยื่อใยในการทำงานครั้งหน้า -
8.คุณมีวิธีแบ่งเวลาในการทำงาน เวลาให้ครอบครัว และเวลาอันเป็นส่วนตัวอย่างไร
ก.ดูความสำคัญเป็นหลัก หากขณะนั้นงานกำลังมีปัญหา ก็ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้าแก้ปัญหางานตรงหน้าอย่างเต็มที่ แม้จะเบียดบังเวลาส่วนอื่นๆ ก็ตาม
ข.ยังพิจารณาจากความสำคัญอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ถึงขนาดทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งชีวิตด้านใดด้านหนึ่ง จนลืมชีวิตด้านอื่นๆ จนหมดสิ้น
ค.ต้องแบ่งเวลาทำงาน เวลาสำหรับครอบครัว และเวลาส่วนตัวออกมาเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน แล้วปฏิบัติตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด -
9.บุคลิกที่แท้จริงของคุณในชีวิตการทำงาน ในฐานะผู้นำครอบครัว และในเวลาอันเป็นส่วนตัวนั้น เหมือนหรือแตกต่างกันในแง่ไหน
ก.ไม่ต่างกันเลย เดิมเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น เพราะยิ่งปรับเปลี่ยนบุคลิกให้แตกต่างมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งน่าเวียนหัวเวลาปฏิบัติตัวมากเท่านั้น
ข.แตกต่างกันอยู่แล้ว เพราะในฐานะเจ้านาย หัวหน้าครอบครัว หรือชีวิตส่วนตัว ย่อมมีคนรอบข้างต่างกันไป คุณจึงต้องรู้จักปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม
ค.มันมีทั้งเหมือนและแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นว่า เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร และต้องการวิธีตัดสินในในแง่ไหน หรือพูดง่ายๆ ว่ามันเป็นบุคลิกที่คาบเกี่ยวกันอยู่ -
10.ลองประเมินตัวเองดูสักหน่อยสิว่า ตอนนี้คุณทำงานเต็มที่แล้วหรือยัง
ก.ยัง เพราะมีอีกหลายสิ่งที่คิดจะทำในหน้าที่การงาน แต่หาเวลาว่างเดินหน้าปฏิบัติไม่ได้สักที
ข.เรียกว่าตอนนี้ทำเต็มที่ดีกว่า แต่ยังมีสิ่งอยากแก้ไขปรับปรุงอยู่เหมือนกัน และถ้าสบโอกาสก็จะรีบทำทันที
ค.ไม่รู้สิ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกรอบความรับผิดชอบที่กำหนด ก็สามารถทำได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง
คำถามไม่ยากไม่ง่าย 10 ข้อนี้ หากคุณตั้งใจและจริงใจที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา มันจะช่วยให้คุณรู้จักตัวตนของคุณมากขึ้น จดบันทึกคำตอบไว้ แล้วมาดูคำเฉลยกันดีกว่า ดังนี้…..
หากคำตอบส่วนใหญ่ คือ ข้อ ก.
คุณเป็นพวกบ้างานชนิดไม่ลืมหูลืมตา ความมุ่งมั่นพัฒนาตนเองและอยากก้าวไปสู่ความสำเร็จของคุณ ถือเป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่ขณะเดียวกัน คุณเคยย้อนกลับมองชีวิตในด้านอื่นๆ ของตัวเองบ้างหรือเปล่าว่า เป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนงานหรือไม่
อย่าลืมซิว่า การทำงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต มิใช่ทั้งหมดซึ่งควรจะทุ่มเทลงไปจนหยดสุดท้าย และอยากให้คุณลองถอยหลังออกมาจากสถานภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก่อนจะหันกลับไปมองภาพรวมกว้างๆ ใหม่อีกครั้ง แล้วคุณจะพบความจริงบางอย่างซึ่งตนเองมองข้าม
หากคำตอบส่วนใหญ่ คือ ข้อ ข.
คุณเป็นพวกทำงานตามมาตรฐานปกติ ไม่ใช่ว่าไม่ดี เพราะหลักการทำงานที่คุณยึดปฏิบัติในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ทุกคนเขาทำกันอยู่ โดยปราศจากข้อผิดพลาดหรือผลพวงร้ายที่จะตามมาในภายหลัง ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อยากให้คุณยึดติดกับความเป็นปัจจุบันมากเกินไปนัก
ความก้าวหน้าถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในชีวิตการทำงาน และการกระโดดออกจากกรอบปฏิบัติมาตรฐาน ถือเป็นการพัฒนาตนเองเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น ลองไตร่ตรองดูให้ดีอีกครั้ง ว่าจะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปอย่างราบเรียบเช่นนี้ หรืออยากท้าทายชีวิตความก้าวหน้ามากขึ้น
หากคำตอบส่วนใหญ่ คือ ข้อ ค.
คุณเป็นพวกชอบอู้งานมากเกินเหตุ สารภาพออกมาตรงๆ เถอะว่า คุณเป็นพวกทำงานไปตามน้ำ ไม่ค่อยจะอยากเป็นผู้นำสักเท่าไหร่ เนื่องจากขาดความกล้าที่จะเสี่ยง และกลัวกับการแก้ไขความผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นในภายหลัง เลยชอบนั่งอยู่เฉยๆ เพื่อประเมินสถานการณ์
แต่การหลบหลีกสถานการณ์ร้าย และลอยตัวออกจากความยุ่งยากทุกครั้ง ย่อมตกอยู่ในสายตาของคนรอบข้างอย่างช่วยไม่ได้ และจะกลายเป็นภาพลบของคุณในสายตาผู้อื่น ดังนั้น คุณควรรีบปรับเปลี่ยนนิสัยการทำงานอย่างเร่งด่วน หากยังต้องการความก้าวหน้าในอนาคต
ทีนี้คงรู้แล้วซิครับ ว่าสิ่งที่คุณเป็นอยู่ และปฏิบัติอยู่นั้น เข้าข่ายใดกันบ้าง บ้างาน ธรรมดา หรือว่าเชื่อยชาชอบอู้งาน รู้แล้วก็อย่าปล่อยเลยนะครับ ปรับตัวให้พอดีกับงานและครอบครัว เพื่อความก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน นั่นแหลบะดีที่สุดครับ