สร้างบ้าน

3 ปัจจัยหลักที่ควรนำมาพิจารณาเมื่อคิดจะสร้างบ้าน

ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตามที่ผ่านมา มนุษย์เราก็มักจะสร้างบ้านด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ซึ่งทั้งวัสดุและรูปร่างหน้าตาของบ้านจะสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศของที่นั้นๆ บ้านในเขตหนาวจึงเป็นอิฐ หิน ปูน ดูทึบและให้ความอบอุ่น บ้านในเขตร้อนจึงเป็นบ้านไม้โปร่ง มุงด้วยหญ้าคาหรือกระเบื้องดินเผา ไม่มีบ้านแบบสวิสที่มีเสาโรมันเหมือนสมัยนี้ แต่ไม่ว่ารสนิยมใครจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะสร้างบ้านด้วยอะไรก็ตาม บ้านและที่ดินสร้างบ้านก็ถือเป็นการลงทุนลงแรงครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษย์

สถานที่ที่เราอยู่อาศัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตเรา มีความหมายมากไปกว่าที่คุ้มแดดคุ้มฝนและซุกหัวนอน สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงให้มากมิใช่แค่โครงสร้างทางวิศวกรรมเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบอื่นๆอีกมากมายที่จะทำให้เราดำรงชีวิตอย่างมีความสุขมากที่สุด เพราะบ้านจะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เราสามารถพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างผ่อนคลายและปลอดโปร่งที่สุด เป็นสถานที่ที่เราจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนที่เรารักที่สุดด้วย

สถานที่ที่เราอยู่นั้นมีอิทธิพลต่อเราหลายประการ ทั้งในด้านอารมณ์ความรู้สึกและสุขภาพร่างกาย คนจีนนั้นเชื่อว่าความรู้สึกของคนเราต่อสถานทีใดๆก็ตามสัมพันธ์กับพลังงานแห่งชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ในโลกและในร่างกายเรา ทำให้บางคนมีความรู้สึกชอบที่จะอยู่บนเนินเขาหรือภูเขาสูง บางคนชอบที่หุบเขา บ้างก็ชอบอยู่ในที่โล่งแจ้ง ชอบอยู่ใกล้ต้นไม้บ้าง ใกล้น้ำไหลบ้าง น้ำนิ่งบ้าง บางคนชอบบ้านเก่าที่ซึมซับความทรงจำของผู้คนมาหลายรุ่น เพราะให้ความรู้สึกของการสืบสานสืบต่อที่เนื่องกันมาตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน แต่บางคนชอบอยู่บ้านใหม่เอี่ยมมากกว่า เพราะเห็นว่าการย้ายเข้าบ้านใหม่ให้ความรู้สึกถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดชื่น เพราะฉะนั้น การเลือกบ้านสักหลังนอกจากจะต้องพิจารณาทำเลแล้วยังต้องฟังเสียงจากข้างในใจเราให้มากด้วย

การวิเคราะห์ความรู้สึกของเราต่อสถานที่ที่เราอยู่ในปัจจุบันมีความสำคัญและจะเป็นประโยชน์มากทีเดียว ถ้าเราอยู่แล้วไม่มีความสุขก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ หาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น ภาวะห่อเหี่ยวเศร้าซึมที่อาจเกิดขึ้นได้กับคุณ อาจจะเป็นเพราะว่าคุณไม่ค่อยจะได้รับแสงในช่วงกลางวัน นี่หมายถึงแสงธรรมชาตินะคะ ไม่ใช่แสงไฟในบ้านทึบทึมของคุณ ถ้าเป็นเช่นนั้น การออกมารับแสงแดดนอกบ้านมากขึ้นจะช่วยบรรเทาลงได้ นอกจากนี้อาจแก้ไขที่ตัวบ้านด้วยการทาสีผนังด้วยสีขาวหรือโทนสีอ่อนๆ ตัดกิ่งไม้ที่ปกคลุมปิดบังแสงสว่างออกไปบ้าง ขยายหน้าต่างให้กว้างขึ้น หรือเจาะช่องรับแสงเพิ่ม

นอกจากจะเข้าใจความทุกข์ที่บ้านสร้างให้คุณแล้ว ถ้าคุณมีความสุขดีกับการอยู่บ้านก็ยังต้องเข้าใจด้วยว่าอะไรทำให้สุข เมื่อมีโอกาสเลือกบ้านหลังใหม่ ไม่ว่าจะซื้อหรือเช่าเขาก็ตาม จะได้นำปัจจัยนั้นมาประกอบการตัดสินใจ

มีงานวิจัยในสหราชอาณาจักรหลายชิ้นทีเดียวที่ให้คำแนะนำว่า ครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆไม่ควรอาศัยอยู่ในที่สูง เช่น แฟลต หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งข้อนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่ เพราะการต้องอุ้มเด็กขึ้นๆลงๆ ต้องหอบหิ้วของที่จับจ่ายเข้าบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนัก โดยเฉพาะในกรณีที่ลิฟท์เสีย หรือไม่มีลิฟท์ นอกจากนั้นเด็กๆยังต้องอยู่แต่ในบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน เท้าไม่ได้สัมผัสดิน จมูกไม่ได้สูดกลิ่นไอธรรมชาติ เด็กต้องเล่นอยู่แต่ในบ้านเพราะดูแลง่ายกว่าปล่อยออกมาข้างนอก โอกาสที่จะเจอเพื่อนบ้านก็มีน้อย เรียกว่าจะเจอกันทีอาจต้องโทรนัดล่วงหน้า

ภาวะเช่นนี้อาจทำให้เด็กเหงาและโดดเดี่ยว จิตใจห่อเหี่ยวเศร้าซึม หรืออาจมีปัญหาทางจิตใจแบบอื่น พบว่าครอบครัวที่อยู่แฟลตมักมีการเจ็บไข้ได้ป่วยมากกว่าปกติ เด็กๆมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางเดินหายใจมากกว่าอยู่บ้านที่มีต้นไม้ใบหญ้าและมีโอกาสสัมผัสธรรมชาติในที่โล่งแจ้ง

ในสภาพบีบคั้นทางสังคมอาจทำให้เราไม่มีทางเลือกในเรื่องที่อยู่อาศัยมากนัก แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะถวิลหาสภาพแวดล้อมแบบชนบทก็ตาม แต่คนเราทุกวันนี้ก็มีแนวโน้มจะใช้ชีวิตในเมืองมากขึ้น เพราะเมืองเป็นศูนย์กลางสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นศูนย์กลางสำหรับการหางานทำ เป็นแหล่งรายได้สำหรับคนที่ผ่านระบบการศึกษาที่ผลิตคนสนองระบบเศรษฐกิจ

ประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ก็จะมีผู้คนหนาแน่นขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินลดน้อยลง มลพิษรุนแรงขึ้น

มีตัวเลขประมาณการว่ามลพิษทางอากาศในเขตเมืองเป็นตัวการของโรคมะเร็งปอดร้อยละ 1 ส่วนยวดยานบนท้องถนนที่ปล่อยสารพิษออกมานับร้อยชนิดก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อสุขภาพชาวเมืองทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี การอยู่ในชนบทก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะหลีกเลี่ยงปัญหาสารพิษไปได้ เพราะบางพื้นที่ที่ทำการเกษตรแบบเข้มข้นซึ่งใช้สารเคมีมากก็อาจทำให้คุณและครอบครัวเผชิญปัญหาแบบใหม่อีกเช่นกัน

แต่ไม่ว่าสภาพแวดล้อมนอกบ้านจะเป็นอย่างไร เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านหรือภายในบ้านให้เหมาะสมได้ เป็นต้นว่า เปลี่ยนแปลงสิ่งที่พอจะเปลี่ยนได้ เช่น สี อุณหภูมิ การหมุนเวียนถ่ายเทอากาศ ผนังบ้าน พื้นบ้าน ในกรณีที่คุณมีบ้านอยู่แล้วหรือเช่าบ้านที่เจ้าของเขาเต็มใจให้ปรับปรุง

วัสดุก่อสร้าง

สำหรับผู้ที่คิดจะสร้างบ้านใหม่ สิ่งที่ควรคำนึงถึงนอกจากแบบแปลนของตัวบ้านแล้ว วัสดุที่เลือกใช้ก็มีความสำคัญยิ่ง วัสดุที่มีน้ำหนักมากอย่างซีเมนต์ อิฐ หิน มีคุณสมบัติในการเก็บความร้อนสูง ส่วนวัสดุน้ำหนักเบาอย่างไม้ กระเบื้องแผ่น หรือ Plasterboard จะไม่เก็บความร้อน บ้านจะร้อนเร็ว เย็นเร็ว เหมาะกับบ้านหลังเล็กๆที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด

ฉนวนกันความร้อนที่ใช้ในบ้านก็มีความสำคัญมาก วัสดุที่ คาเรน คริสเตนเซนแนะนำไว้ในหนังสือ The Green Home ที่เธอเขียน บนหลักการที่ว่าเป็นวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติและไม่ใช้พลังงานในการผลิตมากมายนัก ได้แก่ เซลลูโลส(ผลิตจากกระดาษใช้แล้ว) เพอไล้ท์ เวอมิคูไล้ท์ และไม้คอร์ก ส่วนฝ้าเพดานให้ใช้ยิบซั่มบอร์ด สำหรับวัสดุกันซึมให้ใช้ปูนผสมน้ำมันลินซีด (linseed oil putty) และซิลิโคน

วัสดุปูพื้นสำหรับบ้านของวันนี้ สามารถเลือกได้ตามความชอบส่วนตัวและความเหมาะสมของแต่ละห้อง ได้แก่ อิฐ หินชนวน ไม้ คอนกรีต กระเบื้องเซรามิก หินอ่อน ถ้าจะใช้พรม ควรใช้เส้นใยธรรมชาติ เช่น ขนสัตว์ หรือผ้าฝ้าย

เครื่องเรือนทั้งหลายในบ้านเราคงหาเครื่องเรือนไม้ไม่ยากนัก บางประเภทอาจเป็นโลหะเคลือบอีนาเมลก็ได้ วัสดุปูพื้นผิวที่ใช้งานของเครื่องเรือนแต่ละอย่างก็เลือกได้ตามประโยชน์ใช้สอย ไม่ว่าจะเป็นไม้ กระเบื้องเซรามิก หินแกรนิต หรือหินอ่อน

สีทาบ้าน

การใช้สีทาบ้านมีผลในทางจิตวิทยาต่อผู้อยู่อาศัยทั้งในด้านบวกและด้านลบ สีเข้มโทนอบอุ่นสามารถทำให้ห้องที่มีขนาดใหญ่มีความอบอุ่นสบายขึ้นจนคุณรู้สึกได้ ทั้งยังให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยด้วย

ส่วนการทาสีผนังบ้านด้วยสีขาวล้วนๆ หรือสีอ่อนเพียงสีเดียว จะทำให้ห้องที่มีขนาดเล็กดูใหญ่โตกว้างขวางขึ้น ในหน้าร้อนยังทำให้มีความรู้สึกเย็นลงด้วย

เด็กๆนั้นมักชอบแม่สีเข้มๆ เช่น แดงจัด เหลืองจ้า หรือน้ำเงินเข้ม จึงควรใช้สีเหล่านี้ประกอบกันพอประมาณในห้องนอนเด็ก ห้องที่เด็กมักเล่นกัน ห้องครัวของบ้าน เป็นการสร้างบรรยากาศร่าเริงสดใส แต่ว่าไม่ควรใช้แม่สีเหล่านี้มากเกินไปเพราะจะมีผลในทางกระตุ้นร่างกาย เช่น ทาห้องด้วยสีแดงทั้งห้อง สีแดงจะมีผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น จึงควรใช้สีกลางๆเบรคเอาไว้เพื่อให้เกิดผลในทางตรงข้าม

ส่วนสีฟ้าอ่อนและเขียวอ่อนทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง ช่วยสร้างบรรยากาศอันเงียบสงบขึ้นภายในบ้าน ดังนั้นสีฟ้าอ่อนกับสีเขียวอ่อนจึงเหมาะกับห้องนอน

สีม่วงอ่อนนั้นว่ากันว่าช่วยเร้าจินตนาการ ส่วนสีเหลืองกระตุ้นจิตใจให้สดชื่นกระตือรือร้น จึงเป็นเหตุให้นิยมใช้ดอกไม้สีเหลืองไปเยี่ยมไข้

สีชมพูจางมีผลต่อวัยผู้ใหญ่ในทางทำให้จิตใจสงบลง ในสหรัฐอเมริกามีการใช้สีชมพูอ่อนทาที่ผนังคุก เพื่อช่วยให้นักโทษที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงได้สงบและเยือกเย็นลง แต่จากการศึกษาของนักวิจัยชาวนิวซีแลนด์พบว่า สีชมพูไม่มีผลเช่นนี้กับเด็ก ในทางตรงข้ามกลับช่วยปลุกเร้าและกระตุ้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ตลอดจนความแข็งแกร่งของร่างกาย

เมื่อเลือกสีทาห้องให้ลูกจึงควรพิจารณาบุคคลิกของเด็กด้วย เด็กที่ขี้ตื่นตกใจง่าย อาจช่วยให้เด็กสงบลงได้ด้วยการทาห้องด้วยสีเขียวหรือสีฟ้า เด็กที่มีบุคคลิกเก็บตัวเงียบขรึม อาจเลือกใช้สีโทนอบอุ่นเพื่อช่วยกระตุ้นให้สดใสขึ้น เป็นต้นว่า สีพีช เหลือง หรือชมพู

นอกจากที่กล่าวมานี้แล้ว เฉดสีก็มีความสำคัญมากทีเดียวในการใช้เพื่อหวังผลตามที่คุณต้องการ อย่างเช่น สีเขียวตองอ่อนหรือเขียวน้ำทะเลที่สว่างๆจะมีผลในทางผ่อนคลาย แต่ถ้าเป็นเขียวออกเหลืองอาจทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายเนื้อสบายตัวก็ได้ ผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาค้นพบว่า การทาห้องน้ำด้วยสีเขียวออกเหลืองน่าเกลียดนี้ ทำให้พนักงานลดเวลาเข้าไปซุบซิบนินทาในห้องน้ำลง เพิ่มเวลาทำงานมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อพูดถึงเรื่องสีแล้ว การเลือกฃนิดของสีที่จะใช้ในบ้านก็มีความสำคัญมากทีเดียว เพราะสีทาบ้านที่มีจำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบันนี้มีมากมายหลายประเภท สีน้ำมันมักมีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โลหะหนัก มีกลิ่นเหม็น โดยเฉพาะเมื่อทาเสร็จใหม่ๆ อาจทำให้ปวดศรีษะ หรือคลื่นไส้ เวียนหัวได้ สีที่ใช้ทาภายในควรเป็นสีผสมน้ำและเปิดห้องให้ระบายอากาศทิ้งไว้จนหมดกลิ่นก่อนเข้าไปอยู่

สีธรรมชาติจริงๆก็มีอยู่เหมือนกัน แต่ราคาแพงเป็น 2-3 เท่าของสีปกติ เรียกว่าสีอินทรีย์ หรือ Organic paints สีชนิดนี้พัฒนาขึ้นมาในเยอรมันตะวันตก ผลิตจากวัตถุดิบที่เป็นพืชและแร่ธาตุต่างๆ ในกระบวนการผลิตจึงไม่ก่อมลพิษให้สิ่งแวดล้อม วัสดุธรรมชาติที่นำมาใช้ก็เช่น ขี้ผึ้ง น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้ม กาว ดินสอพอง เป็นต้น ไม่มีสารกำจัดเชื้อราหรือสารเคมีใดๆ เวลาใช้จะมีก็เพียงกลิ่นน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากพืชเท่านั้น

สำหรับบ้านเรามีสีหลายยี่ห้อที่ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นสีเพื่อสิ่งแวดล้อมอยู่ มีการลดสารปรอท สารตะกั่วลงให้น้อยที่สุดหรือไม่ให้มีอยู่เลย บางยี่ห้อเป็นสีน้ำพลาสติกที่ทำจากอะคริลิคล้วนผสมเม็ดสี ซึ่งเราสามารถเลือกหาซื้อและสอบถามกันได้ตามร้านค้าที่จำหน่ายทั่วไป

แสงสว่างในบ้าน

นอกจากเรื่องสีทาบ้านแล้ว แสงก็มีความสำคัญเช่นกัน บ้านที่แสงไม่พอนอกจากจะไม่น่าอยู่แล้วโอกาสเกิดอุบัติเหตุก็มีมากขึ้น ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างบ้านให้มีช่องรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด เพื่อเราจะได้ใช้แสงธรรมชาติอย่างน้อยก็ในช่วงกลางวัน อาจด้วยการเพิ่มหน้าต่าง หรือใช้วัสดุโปร่งแสงอย่างกระจก หรืออิฐแก้วเข้ามาช่วย หรือทาห้องด้วยสีอ่อนๆ โดยเฉพาะห้องที่หันไปทางทิศใต้ ส่วนตอนกลางคืนก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้หลอดไฟ

เป็นที่ทราบกันดีว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์นั้นช่วยประหยัดไฟฟ้ามากกว่าหลอดไส้ เพราะใช้ไฟเพียง 1 ใน 5 ของหลอดไส้ที่มีความสว่างเท่ากัน นอกจากนั้นอายุการใช้งานของหลอดฟลูออเรสเซนต์ยังมากกว่าหลอดไส้ถึง 5 เท่า แสงนุ่มสม่ำเสมอกว่า แต่ทว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์นั้นปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมามากกว่า ทั้งยังปล่อยรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตออกมาในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆตามอายุการใช้งานและตามความเสื่อมของฟอสฟอรัสที่เคลือบด้านในหลอด

ต่อมาก็มีหลอดไฟชนิดที่ช่วยประหยัดไฟออกมา รู้จักันทั่วไปว่า “หลอดผอม” หลอดไฟฟ้าชนิดนี้ใช้สารเคลือบด้านในที่มีประสิทธิภาพในการส่องสว่างมากขึ้นกว่าเดิม มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนเปลี่ยนมาใช้หลอดผอมกันมากขึ้น

อยู่มาไม่นานนัก ก็มีการพัฒนาหลอดไฟให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยสามารถประหยัดพลังงานได้ 75-85% แตกต่างกันไปตามยี่ห้อ หลอดประหยัดไฟรุ่นล่าสุดนี้เป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบคอมแพ็ค มีขนาดกระทัดรัดสมชื่อ อายุการใช้งานยาวนาน 8 -10 เท่าของหลอดไส้ธรรมดา และให้แสงสว่างมากกว่าหลอดไส้

จากการสำรวจหลอดประหยัดพลังงานในท้องตลาด  พบว่า ในความสว่างที่เทียบเท่ากับหลอดไฟแบบไส้ 40 วัตต์นั้น หลอดประหยัดพลังงานจะประมาณ 7-9วัตต์เท่านั้น หากต้องการแสงสว่างมากขึ้น ก็ใช้หลอดที่มีกำลังส่องสว่างมากขึ้น ราคาในแต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกันไป

ล่าสุดก็มีการออกแบบให้แยกบัลลาสต์ออกจากตัวหลอดได้ โดยที่บัลลาสต์จะมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดไฟ 3 เท่าตัว ซึ่งหมายความว่าจะทำให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหลอดไปได้มากกว่าเดิมที่หลอดไฟกับบัลลาสต์อยู่ติดกัน

ข้อดีของหลอดประหยัดไฟที่ว่านี้ยังเหมาะกับการใช้งานในบริเวณที่เปลี่ยนไฟยาก เช่น ตามร้านอาหาร โรงแรม สถานบรรเทิงเริงรมย์ต่างๆ สำหรับตามบ้านก็เหมาะกับไฟรั้วหน้าบ้านที่ต้องเปิดทิ้งไว้นานๆ หรือในจุดที่ต้องเปิดไฟไว้เป็นเวลานานเกินกว่า 3 ชั่วโมงขึ้นไป อย่างตามสำนักงานทั่วไป

นอกจากนี้ ความร้อนที่เกิดขึ้นจากหลอดยังมีน้อยกว่าหลอดไฟธรรมดามาก ถ้าใช้ในห้องปรับอากาศก็ทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องสูญเสียความเย็น ทั้งยังปลอดภัยกว่าหลอดธรรมดาในแง่ของการอาจเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ เพราะเป็นหลอดไฟที่มีความร้อนน้อยนี้เอง

เรื่องของหลอดไฟนี้ ถ้าท่านผู้อ่านสนใจสามารถไปเดินเลือกดูได้นะคะ เพราะตามกล่องบรรจุจะบอกสรรพคุณไว้เสร็จสรรพ พร้อมทั้งเทียบความส่องสว่างของหลอดประหยัดไฟกับหลอดไส้ธรรมดาไว้ด้วยทุกยี่ห้อ เพื่อให้นึกออกว่าจะใช้ความส่วางสักเท่าไร

นี่ก็เป็นข้อที่เราจะช่วยประหยัดพลังงานในบ้านได้อีกทางหนึ่งนะคะ แต่สำหรับผู้บริโภคทุกคนนั้นยังมีเรื่องราวอีกมากมายเหลือเกินที่ท่านจะเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อใช้อิทธิพลในฐานะที่เป็นผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายลงทุกวันนี้ให้ดีขึ้น วิถีชีวิตของเรา ผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อเข้าบ้าน ล้วนส่งผลถึงคุณภาพชีวิตและสุขภาพของทุกคนในครอบครัว ซึ่งจะส่งผลไปถึงระดับชุมชนและระดับชาติด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.