ผ้าอนามัยสมุนไพร มีสรรพคุณรักษาโรคได้จริงหรือ
กระแสสมุนไพรติดลมบน ทำให้ข่าวเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของสมุนไพรดัง ติดหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ และที่เกาะกระแสสมุนไพรมาตลอด หนีไม่พ้นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดที่อ้างกันว่าผสม “สมุนไพร” ซึ่งสอดรับกับความนิยมของผู้บริโภค
ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม (แอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์) ก็จับโอกาสความร้อนแรงของสมุนไพรใส่ขวดหรือกระป๋องวางจำหน่าย แต่คงไม่แรงเท่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่รับลูกกันอย่างดีกับส่วนผสมธรรมชาติเช่นสมุนไพร เพราะผู้ใช้สินค้าเครื่องสำอางมักชอบธรรมชาติมากกว่าสารเคมีสังเคราะห์ แม้ผ้าอนามัยยังร่วมวงสมุนไพรกับเขาด้วย
ว่ากันตามกฎหมาย ผ้าอนามัยและเครื่องสำอางต่างๆ ทั้งครีมทาหน้า แชมพู สบู่ ฯลฯ ก็อยู่ในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง มีคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นผู้ดูแล
ผ้าอนามัยสมุนไพร เป็นตัวอย่างที่ดีของการนำเอาสมุนไพรมาใช้แบบจับแพะชนแกะ และเป็นตัวแทนของระบบการค้าที่ฉกฉวยโอกาสอย่างดี อุทาหรณ์เรื่องนี้พอที่จะทำให้คนไทยฉลาดขึ้นบ้างไหมหนอ และรู้ทันระบบการค้าขายไฮเทคออนไลน์ทางอินเทอร์เนตแต่อ่อนทางจริยธรรมหรือไม่
การใช้สมุนไพรซึ่งมีคุณประโยชน์มากมาย แต่เมื่อเอาการค้าขายมาเป็นตัวนำมากเกินงามก็มักจะเกิดปัญหาเช่นนี้ สิ่งที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องเรียนรู้คือ การมีข้อมูลที่ถูกต้อง เช่นกรณีผ้าอนามัยสมุนไพร ที่โฆษณาว่าเป็นสูตรของการแพทย์จีนโบราณ มีสารสกัดพืชสมุนไพรธรรมชาติ 5 ชนิด คือ การบูร สะระแหน่ ชาเขียว ว่านหางจระเข้และต้นหยางน้ำ
และโฆษณาสรรพคุณไว้เลิศว่า ระงับอาการคัน ฆ่าเชื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต บรรเทาอาการตกขาว ลดการปวดประจำเดือน และแก้ไขประจำเดือนมาไม่ปกติ รวมถึงบรรเทาอาการอักเสบของโรคริดสีดวงทวาร เราควรรู้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างไร
ลองนึกดูผ้าอนามัยผืนเดียว และมีเวลาใช้ช่วงละ 3-5 วัน ออกฤทธิ์ได้มากขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าได้ผลจริงคงร่ำรวยที่เมืองจีน เพราะตลาดใหญ่โตเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกไปแล้ว
หากวิเคราะห์ให้เกิดปัญญาไว้ขบคิดต่อไปในอนาคต คงต้องแยกแยะสมุนไพรให้เห็นว่า สรรพคุณของพืชแต่ละต้นนั้นขึ้นอยู่กับวิธีใช้ด้วย แต่บรรดานักการตลาดก็มักจะจับเอาสรรพคุณสมุนไพรมาใช้แบบกำกวม กรณีผ้าอนามัยกับสมุนไพร 5 ชนิด ข้อมูลที่ทำให้ตาสว่างขึ้น เช่น
ปวดประจำเดือน
ถ้าว่ากันตามตำราและการใช้ของหมอยาไทย ก็พอพูดได้ว่า สะระแหน่ที่ผ้าอนามัยเจ้านี้อ้างไว้นั้น มีสรรพคุณช่วยได้ แต่วิธีการใช้ คือ ใช้ใบสะระแหน่ชงน้ำแบบชงชา กินแก้ปวดท้อง ปวดประจำเดือน ช่วยขับลม แก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ มิใช่ผสมหรือแค่นำกลิ่นสะระแห่มาใส่ในผ้าอนามัยแล้วอวดอ้าง
แก้ริดสีดวงทวาร
ผู้ที่คุ้นเคยสรรพคุณของว่านหางจระเข้ ย่อมรู้กระจ่างชัดว่า นอกจากเนื้อวุ้นและเมือกเหนียวๆ ภายในใบว่านหางจระเข้จะมีสรรพคุณ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกและช่วยสมานแผล บำรุงผิวแล้ว การนำเนื้อว่านหางจระเข้มาเหลาให้เป็นแท่งเล็กๆ แล้วสอดสวนทวารก็เป็นการช่วยบรรเทาอาการโรคริดสีดวงทวารได้ด้วย ว่านหางจระเข้นั้นมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และต้านแบคทีเรียด้วย พูดง่ายๆว่า การใช้ว่านหางจระเข้เป็นยาทานั้นเอง แต่คงไม่เหลือฤทธิ์เหล่านี้ในผ้าอนามัย ซึ่งไม่รู้ว่านำสารสกัดซึ่งยังคงสรรพคุณนี้ไปเก็บไว้ตรงไหน
การกระตุ้นไหลเวียนของโลหิต
เดาเอาว่าพ่อค้าจับเอาสรรพคุณของชาเขียว ซึ่งมีสารคาเฟอีน สรรพคุณในการกระตุ้นหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้น ก็เลยอ้างว่าช่วยการไหลเวียนโลหิต และชาเขียวกำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงทั่วโลก เพราะมีการศึกษาพบว่า การดื่มชาเขียวช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ลดน้ำตาลและลดคลอเลสตรอรอลในเลือด และลดการเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ ผลิตภัณฑ์มากมายก็เลยนิยมผสมชาเขียว ทั้งๆที่จะออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหรือไม่ยังไม่รู้ เช่น คุ๊กกี้ชาเขียว ไอศครีมชาเขียว แชมพูชาเขียว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ผ้าอนามัยชาเขียวจึงเกิดขึ้น
ประจำเดือนมาไม่ปกติ และอาการตกขาวนั้น ผ้าอนามัยยี่ห้อไหนก็ช่วยไม่ได้ หากจะลองใช้สมุนไพรแก้อาการประจำเดือนไม่ปกติ ลองตำรับยาง่ายๆ นี้ดู ใบมะนาว 7 ใบใส่น้ำ 2 แก้ว ต้มให้เดือดนาน 10 นาที กินวันละ 4 ครั้งๆ ละ 1-2 ถ้วยชา หรือใช้แก่นฝางเสนหนัก 2 ส่วน แก่นขี้เหล็กหนัก 1 ส่วน ใส่น้ำให้ท่วมยา ต้มให้เดือดนาน 10 นาที กินวันละ 2-3 ครั้ง ก่อนอาหาร ครั้งละ 1 แก้ว การรักษาโรคและอาการแบบนี้ต้องกินยา มิใช่การใช้ผ้าอนามัยแน่นอน
และสุดท้ายว่าด้วย ระงับอาการคัน และฆ่าเชื้อนั้น คงเพราะสรรพคุณของการบูร ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออ่อนๆ และถ้านำการบูรมาทาจะรู้สึกเย็นสบาย จึงนำมาเป็นจุดขายได้ดีเนื่องจากสตรีทุกคนไม่สบายตัวนักเวลามีรอบเดือน แต่การบูรที่ผสมแล้วใส่ในผ้าอนามัยมีความจำเป็นหรือ หรือเพียงแต่งกลิ่นให้หอมชื่นใจเท่านั้น
ยิ่งได้ฟังจากข่าวที่ว่า ผ้าอนามัยชนิดนี้ทำให้ผู้ใช้ประหยัดการใช้ เพราะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆในหนึ่งวัน ก็ยิ่งเป็นการโฆษณาสินค้าที่ผิดสุขลักษณะอย่างยิ่ง เพราะยิ่งหมักหมมไว้ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเพาะเชื้อโรค ยิ่งเมืองไทยเป็นเมืองร้อนเชื้อโรคชอบนัก
นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่างของกระแสนิยมสมุนไพร ที่เอาการตลาดนำโดยไม่สนใจวิชาการรองรับ ยังมีเครืองสำอางประทินโฉมเพิ่มความงามอีกมากที่จะต้องมาบอกกล่าวคุยกัน เข้าทำนอง “เรียนรู้จากข่าว ฉลาดใช้สมุนไพร” ในคราวต่อๆ ไป