รอยยิ้ม

คุณค่าของรอยยิ้ม

คุณค่าของรอยยิ้ม

ในงานเลี้ยงอาหารค่ำในนิวยอร์คเมื่อเร็ว ๆ นี้ แขกสุภาพสตรีคนหนึ่งของงานนี้ซึ่งเพิ่งประสบโชคบุญหล่นทับ รับมรดกมหาศาลมาไม่นาน เธอมีความหมายมั่นปราถนา ที่จะให้ตัวเองเป็นที่ชมชอบของทุก ๆ คน

ด้วยการทุ่มเทเงินทองซื้ออาภรณ์ เครื่องประดับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อคลุมขนสัตว์ อัญมณีมีค่ามากมาย…

แต่มิได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด บนใบหน้าให้ดีขี้นเลย

ใบหน้าที่บึ้งตึง แสดงความเห็นแก่ตัวอย่างไร ก็ยังคงอยู่อย่างนั้น

เธอไม่ทราบหรอกว่า ผู้ชายทุกคน ตระหนักแน่แก่ใจดีว่า ความเป็นไปที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของสตรีเพศนั้น มีความสำคัญกว่า สิ่งที่ใช้ปรุงแต่งร่างกายมากมายนัก (โปรดจดจำประโยคนี้ไว้ใช้กับภรรยาของคุณเมื่อเธอต้องการจะซื้อเสื้อผ้าราคาแพง)

ชาร์ล ชว็อบ เคยบอกผมว่า

รอยยิ้มของเขา มีค่าถึง 1 ล้านเหรียญ

คำบอกเล่าของเขา ยังน้อยกว่าความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำ

เพราะด้วยท่วงท่า บุคลิกภาพของชว๊อบ รวมทั้งความสามารถในการสร้างความพึงใจแก่ผู้อื่นเมื่อแรกพบนั้น เป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพ เหนือสิ่งอื่นใดที่หนุนเนื่องให้เขาก้าวไปสู่ความสำเร็จเด่นล้ำ

และในบรรดาสิ่งสูงค่าในตัวเขา ก็คือ รอยยิ้มที่แสดงความจริงใจ อันเป็นเสน่ห์ติดตาตรึงใจ

ผมเคยพบปะกับ โมริซ เชอวัลเย ในตอนบ่ายวันหนึ่ง

แรก ๆ ผมยอมรับเลยว่า ออกจะรู้สึกเบื่อหน่าย ต่อการเงียบขรึมของเขา

แต่เมื่อเขายิ้มเท่านั้น มันเหมือนกับว่า มีแสงสว่างสอดส่องผ่านทะลุเมฆหมอกลงมาเบื้อล่าง

และถ้ามิใช่เพราะรอยยิ้มของเขา โมริซ อาจจะเป็นแค่ช่างเฟอร์นิเจอร์อยู่ในปารีส เช่นเดียวกับบุคคลในครอบครัวของเขาก็ได้

การกระทำนั้น มีค่ามากกว่าการพูด

แต่การยิ้ม จะมีความหมายว่า “ฉันชอบคุณนะ คุณทำให้ฉันมีความสุข ฉันยินดีจริง ๆ ที่ได้พบคุณ”

จากเหตุผลดังกล่าว สุนัข จึงเป็นที่ชื่นชอบของมนุษย์ มากกว่าสัตว์เลี้ยงใด ๆ

เพราะมันดีใจอย่างลิงโลด เมื่อได้เห็นเจ้าของ

ดั้งนั้น จึงเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่เจ้าของ ก็จะเกิดความดีใจไปกับมันด้วย

เรียกว่า เกิดอารมณ์ร่วมกับหมา ว่างั้นเถอะ

แล้วการยิ้มแห้ง ๆ แบบไม่บริสุทธิ์ใจล่ะ จะก่อให้เกิดผลแบบไหน?

คำตอบ ก็คือ

ไม่ก่อให้บังเกิดผลใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะไม่สามารถลวงหลอกใครให้ลุ่มหลงได้

การยิ้มที่ผมกล่าวถึง คือ

การยิ้ม ที่เต็มไปด้วยไมตรีจิต จากส่วนลึกของหัวใจ อันเป็นยิ้มที่มีคุณค่าราคาสูงส่งยิ่งนัก

ผู้จัดการฝ่ายพนักงาน ของห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง ในนิวยอร์ค บอกกับผมว่า เขาพอใจที่จะจ้าง ผู้ที่มีรอยยิ้มจริงใจน่าคบหา แต่การศึกษาน้อยมากกว่า จะจ้าง ผู้ได้ปริญญา แต่หน้าตาบอกบุญไม่รับ

ประธานกรรมการของบริษัทยางยิ่งใหญ่ ของอเมริกา บอกผมเช่นกันว่า

จากการสังเกตุของเขา เห็นว่า น้อยมากที่มนุษย์จะประสบความสำเร็จในสิ่งใด นอกเสียจากว่า เขาจะกระทำการงานนั้น ๆ ด้วยความเพลิดเพลินพอใจไปด้วย

ผู้ที่ยืนอยู่หัวแถวของอุตสาหกรรมประเภทนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยประทับใจกับคติโบราณที่ว่า “การทำงานหนักเท่านั้น ที่จะชักนำไปสู่ความสามารถปรารถนาในทุก ๆ สิ่ง” โดยเขากล่าวว่า

“ผมรู้จักบุคคลต่าง ๆ มากมาย ที่ประสบความสำเร็จ เนื่องมาจากได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินกับงานที่ทำ

แต่ต่อมา เมื่อบุคคลนั้น เริ่มบังเกิดความเบื่อหน่าย ความสำเร็จก็จะลดน้อยถอยลงตามลำดับ”

คุณจะถึงใจกับการพบปะติดต่อกับผู้อื่น ถ้าคุณจะสร้างความพึงใจให้ผู้อื่นในการพบปะกันเสียก่อน

ผู้คนในแวดวงธุรกิจหลายพันคน ที่มาเข้าฝึกอบรมกับผม จะถูกขอร้องให้แจกยิ้มกับใคร ๆ ทุก ๆ ชั่วโมงตลอดอาทิตย์ แล้วกลับมารายงานผลที่ชั้นว่าเป็นอย่างไร

ซึ่งผลที่ได้ ก็ขอยกเอาจดหมายของ วิลเลียม บี. สไตน์ฮาร์ดศ์ จากสำนักงานธุรกิจค้าหุ้น นิวยอร์ค เคิร์บ เฮ็กซ์เชนจ์ ที่เขียนเล่าไว้ดังนี้

“ผมแต่งงานมา 18 ปีกว่าแล้ว

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยจะได้ยิ้มให้ภรรยาเลย

และวันหนึ่ง ๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้น จนกระทั่งออกไปทำงาน ผมพูดกับเธอไม่เกิน 24 คำด้วยซ้ำ

กล่าวได้ว่า ในย่านบรอดเวย์ ไม่มีใครเงียบขรึมได้เท่าผม

นับตั้งแต่ถูกขอร้องให้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังรอยยิ้ม ผมจึงตัดสินใจที่จะลองยิ้มกับผู้คนดูสักอาทิตย์

ดังนั้น เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะหวีผม ผมจ้องมองใบหน้ามี่เฉยเมยเย็นชา ค่อนไปทางบึ้นตึงของตัวเองในกระจก และพูดกับตัวเองในใจว่า จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยกเครื่องใบหน้าใหม่เสียที

พอนั่งลงรับประทานอาหารเช้า ผมก็ทักทายภรรยาอย่างสนิทสนมรักใคร่

คุณเตือนผมให้คอยจับสังเกตความประหลาดใจ ที่บังเกิดกับภรรยาของผม…ซึ่งนั่นยังน้อยไป

เพราะเธอนิ่งอึ้งตะลึงตะไลด้วยความงงงัน

ผมจึงกล่าวย้ำว่า เธอจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ และผมก็ทำตามนั้นเป็นเวลาสองเดือนผ่านมาแล้ว

การ “ยกเครื่อง” ใบหน้า ทำให้ชีวิตในครอบครัวผมดีขึ้นกว่าเก่าอย่างเทียบกันไม่ได้ทีเดียว

และเมื่อถึงที่ทำงาน ผมก็ทักทายเด็กประจำลิฟต์ด้วยคำพูด และรอยยิ้ม

นอกจากนั้น ก็ทักดะจากคนเฝ้าประตู ถึงคนขายตั๋วรถไฟใต้ดิน

ในไม่ช้า ผมพบว่า ได้รับรอยยิ้มกลับมามากมาย

และหากใครก็ตาม มีเรื่องเดือดร้อนมาหา ผมจะต้องรับเขาด้วยกิริยายิ้มแย้มจริงใจ ฟังเขาเล่าเรื่องราวอย่างใจเย็น ซึ่งก็สามารถช่วยให้ผมจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ลุล่วงไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

ผมประจักษ์แล้วว่า การยิ้ม เป็นสิ่งที่ชักนำประโยชน์โภชน์ผลมาให้อย่างมหาศาลทีเดียว

ผมเช่าสำนักงาน ร่วมกับเพื่อนนายหน้าค่าหุ้นด้วยกันคนหนึ่ง

เขามีพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่เรียบร้อนน่าคบหา

จากความตื่นเต้น ในผลที่ประสบกับตัวเอง ผมจึงเล่าให้เขาฟังถึงปรัชญาชีวิตใหม่ที่ผมเพิ่งได้รับรู้ ซึ่งพนักงานผู้นั้น ก็สารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่า ก่อนหน้านั้น เขาคิดว่า ผมเป็น

คนเคร่งเครียดเงียบขรึมอย่างร้ายกาจ แต่เพิ่งไม่นานมานี้เอง ที่เขาแปลงเปลี่ยนความคิดหันมาเห็นว่า ผมเป็นมนุษย์ที่น่าคบหาเสียนี่กระไร

เท่านั้นยังไม่พอ ผมยังกวาดล้างการตำหนิติเตียนผู้อื่น ไม่ให้หลงเหลืออยู่อีกเลยในตัว

เพราะการที่จะกล่าวโทษใคร ๆ ผมใช้วิธียกย่องชมเชยแทน และเลิกพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พร้อมกับพยายามที่จะเข้าใจ และยอมรับแนวความคิดของผู้อื่น

ซึ่งการแปลงเปลี่ยนต่าง ๆ ในตัวผมเหล่านี้ ได้พลิกโฉมหน้าชีวิตของผมไปโดยสิ้นเชิง ผมกลายเป็นบุคคลที่ผิดแผก แตกต่างจากคนเดิมอย่างดำเป็นขาว

เดี๋ยวนี้ ผมร่ำรวยมากขึ้น รวยทั้งเพื่อนพ้อง และความสุข อันเป็นสุดยอดปรารถนาแห่งชีวิตเหนือสิ่งอื่นใด”

คุณไม่มีความรู้สึกอยากจะยิ้มบ้างหรือ?

ถ้าเป็นอย่างนั้น จะทำอย่างไรดี

มีอยู่ 2 อย่างก็คือ

หนึ่ง บังคับตัวเองให้ยิ้มให้ได้ เมื่ออยู่คนเดียว จงบังคับตัวเองให้ผิวปากหรือฮัมเพลงในลำคอ ทำประหนึ่งว่า คุณกำลังมีความสุขอย่างแท้จริง และไม่นานก็จะโน้มน้าวจิตใจให้มีความสุขจริง ๆ ไปได้เอง

วิลเลียม เจมส์ แห่ง มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด กล่าวแนะนำไว้ด้วยว่า

“ดูเหมือนว่า การกระทำนั้นบังเกิดขึ้นหลังความรู้สึก แต่ความจริงแล้วการกระทำ และความรู้สึก เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

ที่นี้ ถ้าเราแปลงเปลี่ยนการกระทำ ซึ่งอยู่ใต้อำนาจแห่งจิตใจโดยตรง ก็จะสามารถแปลงเปลี่ยนความรู้สึก ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของจิตใจโดยทางอ้อม

ถ้าเราต้องการจะให้ได้ความร่าเริงที่สูญเสียไป กลับคืนมาเป็นปกติ ก็โดยเสแสร้งแกล้งกระทำว่าร่าเริงแจ่มใส…”

มนุษย์ทุกคน ต่างแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งนั้นบนโลกใบนี้ แต่มีเส้นทางแน่นอนเพียงสายเดียวเท่านั้น ที่จะค้นพบมัน นั่นคือ

การบังคับความคิดคำนึงของตัวเอง

ความสุข มิได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอก แต่อยู่ภายในจิตใจต่างหาก

การที่คุณมีความสุข หรือ ทุกข์ มิได้มีสาเหตุมาจากสิ่งที่คุณมี หรือตำแหน่งสถานะใด ๆ หรือว่าตัวคุณกำลังกระทำสิ่งใดอยู่แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีทัศนคติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไรต่างหาก เช่น

มีบุคคล 2 คน อยู่ในสถานะเดียวกัน ทำงานอย่างเดียวกัน และต่างมีอำนาจวาสนาเงินตราทัดเทียมกัน

แต่คนหนึ่ง อาจจะมีความทุกข์ ในขณะที่อีกคนหนึ่งมีความสุข

ทำไม่จึงเป็นเช่นนั้น ?

ทั้งนี้ก็เนื่องจากทัศนคติแตกต่างกันนั่นเอง

ผมเคยเห็นใบหน้ากรรมกรชาวจีนมากมาย ที่อาบเหงื่อยต่างน้ำทำงานหนักในประเทศจีน ด้วยค่าจ้างวันละ 7 เซ้นต์ แต่มีความสุขเทียบเท่ากับผู้คนที่พบเห้นในแถบ พาร์ค อเวนิว

เชกสเปียร์ กล่าวไว้ว่า

“ไม่มีสิ่งใดดีหรือเลว นอกจากความคิดเท่านั้นที่ปรุงแต่งไปเอง”

ส่วน อับราฮัม ลินคอล์น กล่าวว่า

“บุคคลส่วนมาก จะมีความสุขมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำใจให้เป็นเช่นนั้นได้มากแค่ไหน”

ซึ่งเขากล่าวได้ถูกต้องที่สุด

ผมเคยเห็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับคำพูดนี้ เมื่อไม่นานที่ผ่านมาคือ

วันหนึ่ง ผมขึ้นบันไดสถานีรถไฟ ลอง ไอส์แลนด์ ใน นิวยอร์ค

ขณะนั้น เบื้องหน้า มีเด็กพิการราว 30 – 40 คน บ้างใช้ไม้เท้าบ้างใช้ไม้ยันทั้งหมด กำลังพยายามขึ้นบันได

ซึ่งสิ่งที่ผมบังเกิดความประหลาดใจ ก็คือ พวกเขาต่างยิ้มแย้มร่าเริง หัวเราะเล่นกันอย่างสนุกสนาน

จึงอดที่จะพูดคุยกับสุภาพบุรุษผู้ทำหน้าที่ดูแลเสียมิได้

“โอ…ใช่ครับ เมื่อเด็กทราบแน่ชัดว่า เขาต้องพิการไปตลอดชีวิตในครั้งแรกพวกเขาก็เซื่องซึมไปบ้างเป็นธรรมดา

แต่หลังจากทำใจได้แล้ว เขาก็เรียนรู้ที่จะยอมรับชะตากรรม ซึ่งหลังจากนั้นก็จะกลายเป็นเด็กที่มีความสุข ยิ่งกว่าเด็กปกติหลาย ๆ คนด้วยซ้ำไป”

นับเป็นบทเรียนล้ำค่า ที่ผมจะไม่มีวันเลือนลืมเป็นอันขาด ทั้งยังอยากจะโค้งคารวะพวกเขา ในฐานะครูผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย

ระหว่างที่ แมรี่ พิคฟอร์ด กำลังเตรียมฟ้องหย่า ดักลาส แฟร์ แบงก์ส บรรดาแฟนภายยนต์ทั่วโลก คงคาดเดากันว่า เธอคงจะโศกเศร้ารันทด จะไม่เป็นอันเกินอันนอนกระมัง

แต่บ่ายวันหนึ่ง ในช่วงนั้น ที่ผมได้พบปะกับเธอ ปรากฏว่า ใบหน้าของเธออาบไว้ด้วยรอยยิ้มอันแจ่มใสร่าเริง อย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงล้ำกว่าบุคคลอื่นใด

ซึ่งเคล็บลับของเธอได้เปิดเผยไว้อย่างละเอียด ในหนังสือเล่มเล็กขนาด 35 หน้า ของเธอชื่อ “WHY NOT TRY GOD”

แฟรงค์ เบ็ทเจอร์ อดีตนักเบสบอลยอดเยี่ยมของทีม เซนต์หลุยส์ คาร์ดินัลส์ ปัจจุบันเป็นนายหน้าหาประกันชีวิต ที่ได้รับความสำเร็จเด่นล้ำคนหนึ่งในอเมริการบอกผมว่า

เขาตระหนักมาเนิ่นนานแล้วว่า มนุษย์คนใดก็ตาม ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใจจะประสบกับการต้อนนับด้วยดีเสมอ

ดังนั้น ก่อนเขาจะเข้าไปหาลูกค้า ณ ที่แห่งใดก็ตาม เขาจะหยุดนิ่งรวบรวมสมาธิ โดยปล่อยใจให้ระลึกถึงสิ่งที่ควรขอบคุณต่าง ๆ แล้วประดับรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างแจ่มใจ สุจริตใจ แล้วก้าวเข้าไปในห้องนั้นขณะที่รอยยิ้มยังไม่ทันจางหายไปจากใบหน้า

ความสำเร็จสูงส่งที่ได้รับนี้ เขาเชื่อว่า มาจากเทคนิคง่าย ๆ เท่านี้เอง

โปรดอ่านข้อแนะนำน่าสนใจของ เอลเบิร์ต ฮับบาร์ด ในย่อหน้าต่อไป และอย่าลืมว่า ถ้าไม่นำไปปฏิบัติแล้ว การอ่านอย่างเดียวมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ

“เมื่อใดก็ตาม ที่คุณออกนอกบ้าน จงยกคางไว้ให้ศีรษะตั้งตรงเหมือนมีมงกุฏครอบอยู่บนนั้น และสูดลมหายใจให้เต็มปอด โค้งทักทายเพื่อนฝูงด้วยรอยยิ้มจริงใจ

อย่าได้ประหวั่นพรั่นใจว่า จะมีใครเข้าใจผิดในตัวคุณ

จงตั้งมั่นในการกระทำ แล้วมุ่งตรงไปสู่จุดหมายอย่างไม่ลังเลรีรอ

ตั้งสติมั่นอยู่เสมอว่า ความต้องการของคุณ ก็เพื่อกระทำกิจการงานใด ๆ ให้ประสบผลสำเร็จเพริดแพร้ว

แล้วคุณจะพบว่า ตัวเองประสบความสำเร็จอย่างไม่รู้ตัว จากวันเวลาที่ก้าวล่วงไป เช่นเดียวกับตัวเพรียงที่เกาะกลุ่มกัยอยู่ได้ ท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลผ่านตลอดเวลา

จนสร้างมโนภาพ ของบุคคลที่มีประสิทธิภาพสูงในด้านการทำงาน ซึ่งคุณเองต้องการจะเป็นได้อย่างนั้น

ซึ่งจากการนึกถึงอยู่บ่อย ๆ เช่นนี้เอง ที่สามารถแปลงเปลี่ยนคุณให้เป็นผู้มีความโดดเด่นเป็นเลิศขึ้นมา

ฉะนั้น ความคิด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด

จงรักษาทัศนคติให้อยู่ในลักษณะสร้างสรรค์ กล้าหาญอดทนเปิดเผยตรงไปตรงมา และร่าเริงแจ่มใส

เพราะมนุษย์เรานั้น จะเป็นเช่นไร ก็แล้วแต่จิตใจที่วาดมโนภาพเอาไว้

จนตั้งศีรษะให้ตรง ประดุจมีมงกุฏครอบอยู่

เราทุกคน ล้วนแล้วเป็นเช่นเทวดา หรือให้ปีกงอกออกมา เหาะเหินเดินอากาศด้วยกันทั้งนั้น”

สำหรับเรื่องปรัชญาแห่งชีวิต ต้องนับว่า ชาวจีนโบราณ เป็นผู้ที่รอบรู้ เฉลียวฉลาดมาก

และมีอยู่ประโยคหนึ่ง ที่เราควรจะจดจำไว้ให้มั่น นั้นก็คือ

“คนที่ยิ้มไม่เป็น อย่าได้คิดทำการค้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.