จูเลี่ยม กิ่งทอง

จูเลี่ยม กิ่งทอง

นายจูเลี่ยม กิ่งทอง ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปการแสดง (หนังตะลุง) พุทธศักราช ๒๕๓๕
โดย นิติกร กรัยวิเชียร
ที่มา สกุลไทย

เมื่อฉบับที่แล้วท่านผู้อ่านคงได้เห็นภาพและอ่านเรื่องราวของหนังอิ่ม จิตภักดี หรือหนังอิ่มเท่ง นายหนังตะลุงศิลปินแห่งชาติผู้มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่งของภาคใต้ที่ผมได้เสนอผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อความต่อเนื่อง ในฉบับนี้ผมจึงขอนำเรื่องราวของหนังจูเลี่ยม กิ่งทอง นายหนังตะลุงอีกท่านหนึ่งที่ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้ลองเปรียบเทียบศิลปินแห่งชาติในสาขาเดียวกัน ว่าแต่ละท่านจะมีวิถีชีวิตที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

หนังจูเลี่ยม กิ่งทอง เกิดที่จังหวัดชุมพร เมื่อวันเสาร์ เดือน ๑๑ ปีจอ พุทธศักราช ๒๔๖๕ (ตามประวัติบันทึกไว้ตามนี้ครับ) ปัจจุบันอายุ ๗๙ ปี จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๖ จากโรงเรียนบ้านน้ำอา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ท่านมีความรักและสนใจในการแสดงหนังตะลุงมาตั้งแต่วัยเด็ก โดยเมื่อได้ดูหนังตะลุงของจริงแล้ว ก็เกิดอยากเล่นเองบ้าง จึงได้ลองใช้ใบไม้มาทำเป็นตัวหนังตะลุงเพื่อเล่นให้เพื่อนๆ ดู ทั้งยังชอบจดจำกลอนและนิทานต่างๆ ที่ได้ยินมาจากผู้ใหญ่มาท่องและเล่าให้เพื่อนๆ ฟังประกอบการแสดงหนังตะลุงของท่านด้วย ครั้นอายุได้ ๑๒ ปี ก็ได้เริ่มฝึกการแสดงหนังตะลุง แต่จุดที่ท่านเริ่มฝึกฝนและร่ำเรียนอย่างจริงจังนั้น เกิดขึ้นอีก ๒ ปีหลังจากนั้น คือเมื่ออายุได้ ๑๔ ปี โดยท่านได้ไปขอสมัครเป็นศิษย์ของหนังร่าน พิมพ์สุวรรณ นายหนังตะลุงผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของจังหวัดพัทลุงในครั้งนั้น ซึ่งหนังร่านก็มองเห็นความตั้งใจจริงของหนังจูเลี่ยม จึงรับไว้เป็นศิษย์ และได้ให้ติดตามไปในทุกหนทุกแห่งที่ทางคณะออกแสดง พร้อมกับถ่ายทอดวิชาความรู้ให้อย่างเต็มที่ ด้วยความเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด ไหวพริบดีและมีความมุ่งมั่นสูง หนังจูเลี่ยมจึงสามารถแสดงหนังได้ดีในเวลาอันรวดเร็ว ท่านได้อยู่ศึกษาและหาประสบการณ์ในการแสดงร่วมคณะกับหนังร่านผู้อาจารย์เป็นเวลาประมาณ ๓ ปี จึงได้ลาออกมาเพื่อมาตั้งคณะหนังตะลุงของตนเอง ซึ่งในขณะนั้น ท่านมีอายุเพียง ๑๗ ปี โดยเรื่องแรกที่แสดงคือเรื่องศิลป์วงศ์ ซึ่งท่านก็หาได้ทำให้ผู้ชมผิดหวังไม่ หลังจากนั้น ก็มีผู้มาว่าจ้างให้ไปแสดงมิได้ขาด

ขณะที่อาชีพการแสดงหนังตะลุงของหนังจูเลี่ยมกำลังดำเนินไปอย่างสวยงามนั้น ก็พลันมีเหตุให้งานของท่านต้องสะดุดลงชั่วคราว เนื่องจากท่านต้องเข้ารับราชการเป็นทหารเกณฑ์ แต่แม้กระนั้นก็ดี ท่านก็ยังพยายามหาโอกาสซ้อมการแสดงอยู่เสมอ และเมื่อผู้บังคับกองร้อยของท่านได้ทราบว่าท่านมีความชำนาญทางด้านการแสดงหนังตะลุง จึงได้จัดซื้อตัวหนังตะลุงพร้อมทั้งเครื่องดนตรีที่ใช้แสดงประกอบ ให้หนังจูเลี่ยมใช้แสดงในค่ายทหารแห่งนั้น ทำให้ท่านได้มีโอกาสแสดงในนามของหน่วยงานต้นสังกัดของท่านอย่างสม่ำเสมอ และในยามว่างจากภารกิจทางการทหาร หนังจูเลี่ยมก็ได้พากเพียรศึกษาหาความรู้ในศาสตร์แขนงต่างๆ อาทิ พุทธศาสนา กฎหมาย สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการแสดง เมื่อพ้นจากราชการทหารแล้ว ท่านจึงมีความพร้อมที่จะกลับเข้าสู่วงการแสดงหนังตะลุงอย่างเต็มตัวอีกครั้งด้วยความมั่นใจ และด้วยประสบการณ์ที่สะสมไว้อย่างเต็มเปี่ยม

หนังจูเลี่ยมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการแสดงที่โดดเด่นเป็นพิเศษ กล่าวคือนอกจากการแสดงหนังตะลุงตามแบบฉบับดั้งเดิมแล้ว ท่านยังได้พยายามคิดค้นและพัฒนารูปแบบของการแสดงให้น่าสนใจยิ่งขึ้น อาทิการประยุกต์ศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคต่างๆ อันได้แก่ ลิเก เพลงฉ่อย ลำตัด แลหมอลำ เป็นต้น มาไว้ในการแสดงหนังตะลุงอย่างได้ผลดียิ่ง ทั้งยังเป็นคนแรกที่นำไวโอลินเข้ามาประกอบในการแสดงหนังตะลุงอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงหนังตะลุงของหนังจูเลี่ยม ก็มักจะมีตัวตลกร้องเพลงลูกทุ่งประกอบช่วยเพิ่มสีสันให้กับการแสดงได้เป็นอันมาก

ความสามารถของหนังจูเลี่ยมหาได้มีเพียงที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ทว่าท่านยังเป็นนักแต่งเพลงลูกทุ่งที่มีผลงานโด่งดังอีกด้วย โดยเพลงที่ท่านแต่งส่วนหนึ่งจะใช้ในการแสดงหนังตะลุงของท่านเอง และอีกส่วนหนึ่ง แต่งให้ “สาลิกา กิ่งทอง” นักร้องลูกทุ่งผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านเอง ร้องจนมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ เนื้อหาของเพลงลูกทุ่งที่ท่านแต่งส่วนใหญ่ใช้สำนวนภาษาใต้และสะท้อนวิถีชีวิตของชาวใต้เป็นหลัก

เป็นเวลากว่า ๖๐ ปีแล้ว นับตั้งแต่ที่หนังจูเลี่ยมเริ่มต้นอาชีพนักแสดงหนังตะลุง ตลอดระยะดังกล่าว ท่านได้ออกแสดงประมาณ ๗,๐๐๐ ครั้ง และได้รับรางวัลเกียรติยศต่างๆ เป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่ถ้วยเกียรติยศ ขันน้ำพานรอง มงกุฎทองคำฝังเพชร รางวัลพระพิฆเนศวรทองคำ ฯลฯ แต่รางวัลดังกล่าวเหล่านี้ยังเทียบไม่ได้กับความสำเร็จอันเกิดจากความนิยมชมชอบของประชาชนทั่วภาคใต้ที่มีต่อท่านอย่างต่อเนื่องยาวนานมิสร่างซา

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติมองเห็นคุณค่าของหนังจูเลี่ยม กิ่งทอง ผู้เป็นนายหนังตะลุงที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถ และอัจฉริยภาพของตนเองในการสร้างความบันเทิงอันเปี่ยมด้วยสาระที่สร้างสรรค์แก่ประชาชนมาเป็นเวลายาวนาน จึงได้ยกย่องให้ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง) เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๕

ผมเคยกล่าวเสมอว่าเวลาที่ผมมีนัดถ่ายภาพกับศิลปินแห่งชาติ ผมมักจะได้รับความเมตตาและความเป็นกันเองเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ออกเดินทางไปถ่ายภาพศิลปินในต่างจังหวัด ก็มักจะได้รับน้ำใจไมตรีจากท่านเหล่านั้นเป็นพิเศษจนยากที่จะลืม หลายท่านได้เลี้ยงข้าวเลี้ยงปลาจนอิ่มหนำสำราญ แถมมีของกำนัลให้ติดมือกลับบ้าน ทั้งยังชวนคุยเรื่องสารทุกข์สุกดิบเสมือนกับเราเป็นญาติมิตรที่สนิทสนม การไปถ่ายภาพหนังจูเลี่ยมที่บ้านในจังหวัดสุราษฎร์ธานีของท่านก็เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่ผมต้องเก็บไว้เล่าไม่รู้จบ กล่าวคือ ก่อนที่ผมจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯไปนั้น ผมได้ขอร้องให้คุณดรุณี ปูชนีย์ ผู้ซึ่งในขณะนั้นทำงานอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ช่วยติดต่อนัดหมายศิลปินแห่งชาติหลายท่านที่อยู่ทางภาคใต้ รวมทั้งหนังจูเลี่ยมด้วยให้ผมล่วงหน้า และเมื่อผมเดินทางไปถึงอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้ว ผมก็ได้ใช้วิธีสอบถามทางไปตามที่อยู่ที่ได้รับมา จนไปถึงบ้านหนังจูเลี่ยมโดยไม่ลำบากยากเย็นนัก เมื่อไปถึง ผมพบว่าในบริเวณสนามหน้าบ้านของหนังจูเลี่ยมดูคึกคักเป็นพิเศษ มีผู้คนมากมาย และมีการจัดโต๊ะในสนามพร้อมหม้อข้าวหม้อแกงหลากหลายชนิด เหมือนกับว่ากำลังจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ อะไรสักอย่าง เมื่อจอดรถแล้ว ก็มีคุณลุงท่านหนึ่งที่หน้าตาเหมือนรูปในหนังสือทำเนียบศิลปินแห่งชาติของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งผมจำได้ว่าท่านก็คือหนังจูเลี่ยม กิ่งทอง นั่นเอง เดินเข้ามาต้อนรับ หลังจากที่ท่านทักทายจักรกฤษณ์กับผมแล้วก็ถามว่า “มาจาก ส.ว.ช. (สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) ใช่ไหม” ผมก็ตอบว่าเรามาถ่ายภาพคุณลุงตามที่คุณดรุณีจาก ส.ว.ช. ได้ช่วยนัดหมายไว้ให้ หนังจูเลี่ยมทราบดังนั้นก็กวาดสายตาไปที่ทางเข้าบ้าน แล้วถามต่อว่า “แล้วคนอื่นๆ ในคณะยังมาไม่ถึงหรือ” จักรกฤษณ์กับผมมองหน้ากันทันที และเข้าใจตรงกันว่าคงจะมีการเข้าใจผิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเสียแล้ว และตอบท่านไปว่า “เรามากัน ๒ คนนี่แหละครับ” เมื่อได้ยินดังนั้น หนังจูเลี่ยมก็อุทานออกมาว่า “มากันแค่ ๒ คนเองหรือ เข้าใจว่าจะมากันเป็นคณะใหญ่ นี่เตรียมกับข้าวไว้เลี้ยงต้อนรับทั้งคณะเลยนะ!” พลางชี้ไปที่โต๊ะเก้าอี้และหม้อกับข้าวกับปลา ที่สู้อุตส่าห์เกณฑ์คนในบ้านช่วยกันตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เช้า เราทั้ง ๒ รู้สึกผิด และเกรงใจท่านเป็นอย่างมากที่สร้างความเดือดร้อนแก่ท่านโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม หนังจูเลี่ยมก็จัดให้เราทานข้าวกัน ๒ คน โดยมีอาหารที่เตรียมไว้สำหรับคนนับสิบวางอยู่รอบตัว โดยมีสมาชิกในครอบครัวรวมทั้งเพื่อนบ้านนับสิบคนมองดูเรารับประทานอาหารด้วยความรู้สึกในใจที่ผมก็เดาไม่ถูก อาหารมื้อนั้นคงจะอร่อยกว่านั้นมากหากไม่มีเรื่องที่ทำให้เราต้องรู้สึกไม่สบายใจเช่นนั้น

เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว เราก็ย้ายไปที่โรงหนังตะลุงที่อยู่ลึกเข้าไปบนสนามนั้นเอง โรงหนังตะลุงดังกล่าวมีลักษณะเป็นโรงไม้ยกพื้นสูง ด้านหน้ามีผ้าขาวขึงตึงทำเป็นจอหนัง ด้านหลังจอมีหลอดไฟดวงโตห้อยลงมาจากเพดานสำหรับส่องตัวหนังให้เกิดเงาทอดลงบนจอผ้า พื้นของโรงหนังเป็นไม้กระดานหยาบๆ ปูด้วยเสื่อเป็นที่สำหรับนายหนังตะลุงนั่งแสดง นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง เช่นตัวหนังจำนวนมาก และหยวกกล้วย ที่ใช้สำหรับปักตัวหนังวางอยู่ ผมได้พยายามจัดถ่ายภาพหนังจูเลี่ยมโดยมีตัวหนังตะลุงของท่านเป็นฉากหลัง แต่ก็มีอุปสรรคที่ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ กล่าวคือตามความเข้าใจของผม การแสดงหนังตะลุงนั้น น่าจะแสดงกันในเวลากลางคืน หรือในที่ๆ มีแสงสว่างสลัวๆ เพื่อที่จะสามารถมองเห็นเงาของตัวหนังบนจอได้อย่างชัดเจน แต่ขณะที่ผมไปถ่ายภาพนั้น เป็นเวลากลางวัน ทำให้แสงสว่างจากภายนอกซึ่งมีกำลังแรงกว่าหลอดไฟที่ส่องตัวหนังมาก กลบเงาที่เกิดขึ้นจนไม่สามารถมองเห็นได้ ผมจึงต้องพยายามใช้ไฟถ่ายภาพซึ่งให้แสงสว่างสูงมาช่วย แต่เมื่อกลับมาดูภาพที่ถ่ายไว้นั้นก็ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งตัวหนังที่ผมจัดไว้ ก็ดูนิ่งๆ เฉยๆ ไม่น่าสนใจ มีเพียงส่วนที่เป็นภาพหนังจูเลี่ยมเท่านั้นที่กลับดูดีเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมก็มีทางเลือกเพียง ๒ ทาง ทางแรกคือกลับไปถ่ายใหม่ หรือทางที่ ๒ ก็คือ ใช้วิธีการซ้อนภาพเหมือนภาพของนายหนังตะลุง ๒ ท่านที่เคยนำเสนอไปแล้ว ซึ่งเมื่อคิดเปรียบเทียบกันระหว่างจากการที่จะต้องเดินทางไปไกลถึงสุราษฎร์ธานีเพื่อถ่ายภาพเพียงท่านเดียว กับการที่จะจัดถ่ายตัวหนังในสตูดิโอ แล้วนำมาประกอบเข้ากับภาพหนังจูเลี่ยมที่ดีอยู่แล้ว ผมก็เลือกวิธีหลัง และก็ได้ใช้วิธีการเดียวกันกับการทำภาพหนังฉิ้น อรมุต และหนังอิ่ม จิตภักดี ซึ่งได้เคยอธิบายไว้แล้วอย่างละเอียดในฉบับก่อนๆ จึงขอละที่จะกล่าวซ้ำอีก หลังจากที่ถ่ายภาพหนังจูเลี่ยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราทั้ง ๒ ก็ลาท่านเพื่อจะเดินทางต่อไป โดยไม่ลืมที่จะขอโทษที่ทำให้ท่านเข้าใจผิดและต้องลำบากลำบนไปเช่นนั้น

หนังจูเลี่ยม กิ่งทอง นับเป็นศิลปินที่มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวมาตั้งแต่เด็กที่จะเป็นนายหนังตะลุงให้ได้ และท่านก็ได้ใช้เวลายาวนานเกือบทั้งชีวิตสร้างผลงานจนประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับอย่างสูงยิ่ง และได้รับเกียรติยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติอันเป็นเครื่องยืนยันถึงเกียรติคุณและความสามารถของท่านได้อย่างดีที่สุด

ขอขอบคุณ

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เอื้อเฟื้อข้อมูล
บริษัทโกดัก (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนผลิตภัณฑ์ถ่ายภาพ
คุณบันลือ อุตสาหกิจ แห่งบริษัทศรีสยามพริ้นท์แอนด์แพคก์ จำกัด อุปถัมภ์โครงการ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.