โรคเอดส์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ (หรือ เอ็ช.ไอ.วี) ซึ่งจะทำให้ระบบภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาว บกพร่องไป ทำให้เกิดการติดเชื้อและป่วยเป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย อาการป่วยที่พบเห็นจึงเป็นอาการของโรคที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อมาในขณะนั้นๆ มิใช่อาการที่เกิดจากเชื้อเอ็ช.ไอ.วี โดยตรง
การดำเนินโรค
เมื่อได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้นั้นอาจมีอาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นไข้หวัดแล้วอาการจะหายไปเอง แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้2-3 เดือนต่อมา หากตรวจเลือดสำหรับเอ็ช.ไอ.วี จะพบปฏิกิริยาเป็นบวก ผู้ได้รับเชื้ออาจจะเป็นปกติอยู่ได้หลายๆ ปีโดยไม่ต่างจากคนทั่วไป จนกว่าเม็ดเลือดขาวชนิด CD 4 จะลดต่ำลงมากจนไม่สามารถต้านทานเชื้อจุลชีพต่างๆ ได้ ผู้นั้นจะเริ่มป่วยด้วยโรคต่างๆ (แล้วแต่ว่าติดเชื้ออะไรเข้าสู่ร่างกาย) เป็นๆ หายๆ หรือ เป็นเรื้อรัง ผู้ป่วยจะทรุดโทรมลงเรื่อยๆ และมักตายด้วยโรคติดเชื้อยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้แต่ละคนมีระบบภูมิต้านทานบกพร่องช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน บางคนตายภายใน 2 ปี บางคนอยู่ได้ปกติ 7-10 ปี หรือนานกว่านั้น อาจเกี่ยวข้องกับสุขภาพทั่วไป ความเครียด และการได้รับเชื้อเอ็ช.ไอ.วี เพิ่มเรื่อยๆหรือไม่
การติดต่อ
แม้งานวิจัยจะพบเชื้อเอ็ช.ไอ.วี อยู่ในน้ำลาย น้ำนม ปัสสาวะ ของผู้เคยได้รับเชื้อแต่ก็มีปริมาณน้อยมากจนไม่ทำให้ติดต่อจากการรับประทานอาหาร สัมผัส หรือใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในสังคมตามปกติปริมาณเชื้อจะมีสูงมากในเลือด น้ำอสุจิ และมูกในช่องคลอด การติดต่อจึงเกิดขึ้นได้ 4 ทาง คือ
- เพศสัมพันธ์
- การใช้เข็มที่เปื้อนเลือดผู้ติดเชื้อ(แต่ไม่ติดต่อจากการถูกยุงกัด)
- การได้รับเลือดที่มีเชื้อเอ็ช.ไอ.วี
- จากมารดาสู่ทารกในครรภ์ (ประมาณร้อยละ 30 ของมารดาที่ติดเชื้อ)
การป้องกัน
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (Safe Sex) โดยใช้ถุงยางอนามัย อย่างไรก็ตาม ถุงยางอนามัย อาจฉีกขาดหรือหลุดได้ จึงไม่ควรสำส่อนทางเพศ
- ไม่ฉีดยาโดยไม่จำเป็น และใช้เข็มสะอาดหรือเข็มใหม่เสมอ
- หากต้องได้รับเลือด ถ้าเป็นไปได้ควรหาผู้บริจาคที่มั่นใจว่าไม่ได้ติดเชื้อ
- การให้มารดาที่ติดเชื้อรับประทานยาต้านไวรัสเอดส์ จะทำให้โอกาสที่เด็กในครรภ์จะติดเชื้อน้อยลงมาก
ปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์หลายชนิด ไม่มีชนิดใดรักษาให้หายขาดได้เพียงแค่ทุเลาหรือหยุดการ เพิ่มจำนวนของไวรัสเท่านั้น และต้องใช้ยาพร้อมกันหลายชนิดเพราะเชื้อดื้อยาได้เร็วสำหรับวัคซีนป้องกันโรคนั้น ยังต้องรอผลการวิจัยต่อไป