คนยุคนี้ มักจะมีอาการของคนติดงาน หรือบางทีถึงขั้นบ้างานมากขึ้นทุกที เหตุเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงล้มลุกคลุกคลานนั่นเอง
ลองสำรวจตัวเองตัวเองดูหน่อยไม่ดีหรือครับ ว่าคุณเข้าข่ายหรือมีอาการติดงาน หรือบ้างานบ้างหรือเปล่า โดยสังเกตุจากอาการต่างๆ ดังนี้ครับ….
-
เร่งรีบหรือยุ่งเหยิงตลอดเวลา
-
ไม่เคยกระจายงานได้อย่างเพียงพอ เพราะต้องการควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง
-
ตั้งมาตรฐานความเพอร์เฟคของงานไว้สูงมากกว่าคนส่วนใหญ่ที่ประสพความสำเร็จในหน้าที่การงาน มุ่งเอาชนะจนเกินควร
-
ละเลยการเอาใจใส่ตัวเองเพราะงาน
-
มีความเชื่ออยู่ตลอดเวลา ว่าตัวเองยังทำงานได้ไม่ดีพอ
-
เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา ทางออกที่คิดได้คือทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิม
ถ้าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวคุณครบถ้วน คาดว่าคุณต้องเข้าข่ายบ้างานชนิดที่ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว
แต่อย่าลืมว่างานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตของคุณ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่สมควรทำและต้องทำ มากกว่าการทุ่มเทให้กับงานเพียงอย่างเดียว หยุดอาการบ้างาน ก่อนที่มันจะฆ่าคุณเถอะครับ ถึงใครจะบอกว่างานหนักไม่เคยฆ่าใคร แต่งานหนักก่อให้เกิดความเครียด และในที่สุดมันจะทำให้คุณฆ่าตัวเองได้เหมือนกัน
วิธีหยุดตัวเองจากอาการบ้างาน และทำในสิ่งอื่นที่น่าสนใจกว่า ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด อีกทั้งผลที่จะได้รับก็คุ้มค่าอย่างแน่นอน
1.อย่าเชื่อคำกล่าวที่ว่า ถ้าคุณทำงานหนักมากในวันนี้แล้ว คุณไม่ต้องทำงานหนักในอนาคต….โดยจัดการกับงานให้จบไป ทั้งที่คุณไม่มีทางจะจัดการงานตรงหน้าที่มีอยู่ให้หมดไปได้ ตราบใดที่ยังทำงานอยู่ งานก็ย่อมมีเข้ามาเรื่อยๆ
งานไม่ใช่ภาพยนต์นะครับ จบแล้วจบกัน จากนั้นค่อยเลือกหนังเรื่องใหม่ แต่งานโดยส่วนใหญ่มีความต่อเนื่องตลอดเวลา มันไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดังนั้น จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณจะทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตในวันนี้ให้กับงานเพื่อความสบายในวันหน้า
ดังนั้น หยุดที่จะทำงานทุกอย่างให้สมบูรณ์ที่สุด จนละเลยสิ่งรอบตัว เพราะเมื่อไหร่ที่โรคหัวใจถามหา หรือเส้นเลือดในสมองแตกด้วยความบ้างาน งานของคุณก็ยังคงจะเหลืออยู่ในลิ้นชักหรือบนโต๊ะเหมือนเดิม รอคนใหม่เข้ามาทำแทนเท่านั้นเอง ในขณะที่คุณสูญเสียหลายสิ่งในชีวิตไปอย่างไม่มีวันเอากลับมาได้ เดินสายกลางสิครับ รู้จักคำว่าพอดีบ้าง แล้วชีวิตของคุณจะมีควสามสุขขึ้น
2.เลิกยึดติดกับทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต….เพียงแค่โอกาสที่ยากจะเป็นจริงเข้ามาในชีวิตการทำงาน ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องฉกฉวยมันไว้เสมอไป ทุกครั้งที่คุณยอมรับโอกาสใหม่ๆ เข้ามา ต้องคิดด้วยว่าคุณยอมรับกหารสูญเสียเวลาสำหรับสังคม เพื่อฝูง และครอบครัวได้หรือเปล่า ถึงมันจะเป็นการพิสูจน์ความสามารถในการพัฒนาฝีมือการทำงานของคุณก็ตาม
ลองคิดดูว่า ยิ่งคุณตำแหน่งสูงมากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย และจะมีสักกี่คนที่ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันให้ได้ดีทุกอย่างโดยไม่สูญเสียอะไรเลย หายากครับ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีประโยคฮิตที่ว่า “ได้อย่าง เสียอย่าง” หรอกครับ
3.เรียนรู้การมอบหมายงาน กระจายงานให้ผู้อื่นรับผิดชอบบ้าง….อย่างที่บอกแล้วว่า คนเดียวทำงานหลายอย่างให้สำเร็จทุกเรื่องมันยาก และแทบที่จะเป็นไปไม่ได้ ถึงจะมึความสามารถครบทุกอย่าง ก็ไม่อาจทำได้ทุกอย่าง เพราะข้อจำกัดของเรื่องเวลานี่แหละครับที่เห็นชัดที่สุด
การที่คุณอ้างว่า มันเป็นงานของเรา ไม่มีใครมีคุณสมบัติพอที่จะทำมันได้ หรือหัวหน้าสั่งให้เราทำ ฯลฯ แล้วไม่ยอมกระจายงาน งานทั้งหลายก็จะมากองท่วมทับคุณไว้ และไม่มีทางที่คุณจะทำงานเหล่านั้นได้สำเร็จอย่างแท้จริง แทนที่จะกอดงานไว้กับตัวเอง ทำไมไม่เรียนรู้ที่จะไว้ใจในความสามารถของเพื่อนร่วมงาน และไม่ควรเกรงใจคนอื่นจนเกินไป และทำให้ไม่กล้ากระจายงานด้วย
หากเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทีมงานแล้วหล่ะก็ การแบ่งเบาภาระ ช่วยกันทำงานให้เสร็จทันเวลา ย่อมดีกว่าที่ใครคนหนึ่งจะแบกรับภาระทั้งหมดไว้คนเดียว แล้วทำงานไม่เสร็จ จริงไหมหล่ะครับ
หลักการกระจายงานง่ายๆ ก็คือ
-
อย่ากระจายงานโดยเลือกงานที่คุณไม่เคยอยากทำให้คนอื่นทำ อย่างนี้ไม่ยุติธรรมครับ ควรแบ่งานให้เหมาะกับความสามารถของบุคคลในทีม
-
อย่ากระจายงานที่เป็นความรับผิดชอบหลัก มีความสำคัญ และคุณต้องลงมือทำเองจริงๆ
-
กระจายงานด้วยความคิดที่ว่า ทีมงานทุกคนจะมีส่วนในความสำเร็จของงานร่วมกัน
-
กระจายงานเพื่อให้มีเวลาเต็มที่กับงานส่วนหลักที่คนอื่นทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดีพอเท่ากับคุณ
-
คุณอาจตรวจสอบงานหลังจากทีมงานทำเสร็จ หรือคอยให้คำแนะนำปรึกษาทีมงานได้ แต่ไม่ใช่ลงมือทำเองเสียหมดนะครับ
-
ที่สาคัญคือ การกระจายงานที่ดี ต้องเปิดโอกาสให้ทีมงานได้มีส่วนฝึกฝนความสามารถและความรับผิดชอบงานแต่ละส่วนตามความเหมาะสมด้วย
4.หาเวลาว่างโทรศัพท์คุยกับคุณพ่อ คุณแม่ หรือคนที่คุณรัก…คุยกับครอบครัวและเพื่อนฝูงบ้าง อย่ามัวแต่ใช้โทรศัพท์เพื่อบุกตลาดใหม่อย่างเดียว หยุดอาการบ้างานเพื่อหวังได้รับคำสรรเสริญเยินยอ แทนที่ด้วยการดูแลเอาใจใส่ความรู้สึก ความคิด และความเห็นของคนรอบตัวคุณ ทั้งเพื่อนฝูงและครอบครัว
บางครั้งการวิ่งไล่ตามความสำเร็จในสายงาน เพราะมันให้รางวัลที่เห็นเป็นรูปธรรมมากกว่าชีวิตครอบครัวและสังคมก็ตาม แต่มันไม่ได้ทำให้คุณมีความสุขอย่างแท้จริงนะครับ แบ่งเวลาจากงานแล้วนัดคุณพ่อทานข้าวด้วยกันสักมื้อ โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายหรือรำคาญท่านซิครับ แล้วจะรู้ว่าคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์คืออะไร
5.หยุดความคิดที่จะเอาชนะคนอื่นจนเกินควร เพียงเพื่อต้องการเป็นอันดับหนึ่ง….ซึ่งคุณก็รู้ดีว่ามันไม่ยากเท่ากับการรักษาอันดับหนึ่งต่อไป และนั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณกลายเป็นมนุษย์งาน ไม่มีเวลาให้กับชีวิตในส่วนอื่นที่มนุษย์ทั่วไปควรจะมี
เชื่อไหมครับว่า บทสุดท้ายของคนบ้างาน ขาดการเอาใจใส่ตัวเอง ขาดสายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว เพื่อนฝูง และสังคม เขาจะมีชีวิตที่ล้มเหลวและเป็นผู้สูญเสียที่แท้จริง
6.ทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้….เพียงพอแล้วครับสำหรับชีวิตการทำงาน ไม่จำเป็นรต้องยึดติดกับลัทธิของความเป็นเลิศในสายงาน เพียงแต่ทำงานให้เต็มที่ และดีที่สุดที่จตะทำได้ในเวลานั้น และมันจะทำให้คุณดึงพลังงานจากร่างกายและสมองมาใช้ได้อย่างเต็มที่ มากกว่าการทุ่มเทจนลืมเวลา ที่มีแต่จะทำลายสุขภาพไปทุกวันๆ
7.เลิกเป็นคนขี้อิจฉา เห็นคนอื่นดีไม่ได้…..ยิ่งเห็นคนประสพความสำเร็จ คุณยิ่งร้อนรนและทำงานให้มากขึ้นเพื่อที่จะก้าวไปเทียบเคียงเขา หรือเก่งเหนือเขา นั่นเป็นเพราะคุณไม่รู้จักคำว่าพอ ลองมองความสำเร็จของผู้อื่นในอีกมุมบ้างว่า เขาต้องใช้ชีวิตที่อดทนลำบากยากเย็น และทนทุกข์กับอาการบ้างานกว่าจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า ถ้าเขาเป็นคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนคนบ้างานด้วยหล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาเขาเลย เชื่อเถอะว่า ชีวิตเขาไม่ได้มีความสุขหรอกครับ
อาการบ้างานที่เกิดขึ้นกับคนไทยยุคนี้ กลายเป็นสาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายมานักต่อนักแล้ว ทางที่ดี เราควรพอใจในสิ่งที่ทำและมีอยู่ดีกว่าครับ
Image by Lukas Bieri from Pixabay