มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักพากย์-นักแสดง) พ.ศ.๒๕๔๒
โดย นิติกร กรัยวิเชียร
คุณป้ามารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติท่านที่ผมได้ไปถ่ายภาพมาให้ชมและนำเรื่องราวของท่านมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้นั้น เป็นผู้ที่ผมคงไม่ต้องแนะนำอะไรเป็นพิเศษ
นอกจากตัวท่านเองแล้ว สมาชิกในครอบครัวของท่านทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่เคยอยู่ในวงการบันเทิงด้วยกันทั้งสิ้น นับตั้งแต่หม่อมหลวงรุจิราผู้สามี ที่ล่วงลับไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนนั้น กล่าวได้ว่าท่านเป็นนักพากย์ฝีปากเอกของเมืองไทยเลยทีเดียว ความสามารถและพรสวรรค์ในการพากย์ของท่านสูงถึงขนาดได้รับสมญาว่า “นักพากย์ ๗ เสียง” ทั้งยังเป็นนักแสดงที่มีความสามารถโดดเด่นด้วย ส่วนบุตรของท่านทั้ง ๓ คน ก็ต่างได้เลือดศิลปินมาจากบิดามารดาด้วยกันทั้งสิ้น นับตั้งแต่ คุณอรสา คุณจิระศักดิ์ ไปจนถึงคุณจิระวดี จึงนับว่าครอบครัวของคุณป้ามารศรีนี้ เป็นครอบครัวศิลปินโดยแท้
คุณป้ามารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา เกิดเมื่อวันที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๕ ที่จังหวัดปราจีนบุรี ปัจจุบันอายุ ๗๘ ปี ท่านเริ่มชีวิตการเป็นนักแสดงมาตั้งแต่อายุเพียง ๑๗ ปี นับจนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลานานถึง ๖๑ ปีมาแล้ว โดยเริ่มจากการแสดงตลกร่วมกับสุคนธ์ คิ้วเหลี่ยม อบ บุญติด สมควร กระจ่างศาสตร์ ฯลฯ จากนั้นได้ไปแสดงกับคณะลูกไทยโดยการนำของจอก ดอกจัน จันตรี สาริกบุตรร่วมด้วย สมพงษ์ พงษ์มิตร ล้อต๊อก ก๊กเฮง ฯลฯ โดยออกตระเวณตามโรงภาพยนตร์ และในต่างจังหวัดตามแต่ที่คณะจะได้รับงานมา จนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัว นักแสดงแต่ละคนต่างก็แยกย้ายไปตามทางเดินของตนเอง หลังจากนั้นคุณป้ามารศรีได้พบรักและแต่งงานกับหม่อมหลวงรุจิรา อิศรางกูร และหันมาแสดงละครเวทีโดยรับบทเป็นนางเอก ละครเวทีที่ คุณป้ามารศร ีแสดงในยุคนั้นและทำให้ท่านมีชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จักได้แก่เรื่องลานอโศก ขุนวรวงศ์ศา นางบุญใจบาป และคุณหญิงพวงแขเป็นต้น คุณป้ามารศรี ได้แสดงละครเวทีอยู่นานหลายปี จนกระทั่งหมดยุคของละครเวทีและภาพยนตร์ได้เข้ามาแทนที่ ท่านจึงได้เปลี่ยนมาแสดงภาพยนตร์แทน ซึ่งท่านก็สามารถแสดงได้ดีจนได้รับตุ๊กตาทองจากภาพยนตร์เรื่อง “โอวตี่” จากนั้นด้วยความที่เป็นผู้มีน้ำเสียงดี ท่านก็ได้รับการชักนำเข้าสู่วงการพากย์ภาพยนตร์ โดยได้พากย์ร่วมกับหม่อมหลวงรุจิราผู้สามี ซึ่งทั้งสองท่านสามารถทำงานเข้ากันได้อย่างดียิ่งจนได้รับความชื่นชมว่ามีความสามารถในการพากย์ได้อย่างสนุกสนาน ถึงบทบาท สามารถสื่อสารให้คนดูได้เข้าถึงอารมณ์ของนักแสดงอย่างมีอรรถรส ภาพยนตร์ที่ท่านพากย์มีทั้งภาพยนตร์ฝรั่ง แขก จีนและญี่ปุ่น
ความภาคภูมิใจมิรู้ลืมครั้งหนึ่งของการทำงานพากย์ภาพยนตร์ของคุณป้ามารศรี คือการที่ได้มีโอกาสพากย์ภาพยนตร์เรื่อง “ธรณีกรรแสง” คู่กับหม่อมหลวงรุจิราต่อหน้าพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉายให้ทอดพระเนตร
การพากย์ภาพยนตร์ให้ดีนั้นมิใช่เรื่องง่าย นอกจากที่จะต้องพากย์ให้ได้อารมณ์ความรู้สึกที่สอดคล้องกับนักแสดงแล้ว ผู้พากย์ยังจะต้องจับจังหวะจะโคนของบทพูดให้พอดี ไม่ขาดไม่เกินให้คนดูเสียอารมณ์ในการดูได้ ซึ่งคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ท่านมีอยู่พร้อม จนได้รับการยกย่องว่าเป็นนักพากย์ที่มีไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศอย่างหาตัวจับได้ยาก
แม้จะทำงานพากย์จนประสบความสำเร็จอย่างสูง คุณป้ามารศรีก็หาได้ทิ้งงานแสดงไม่ เมื่อถึงช่วงที่ภาพยนตร์ไทยซบเซาลงอย่างมาก ท่านก็ยังมีงานแสดงละครโทรทัศน์อยู่อย่างสม่ำเสมอมาจนทุกวันนี้ และได้รับรางวัลตุ๊กตาทองมหาชนจากการแสดงละครโทรทัศน์เรื่องจิตไม่ว่างอีกด้วย
คุณป้ามารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา นับเป็นศิลปินที่มีความสามารถหลายด้าน ท่านได้ทำงานเพื่อให้ความสุขและความบันเทิงแก่คนไทยมาเป็นเวลานาน หากจะนับเวลาที่ท่านเข้าสู่วงการบันเทิงมาจนถึงวันนี้ ก็จะเท่ากับช่วงเวลาที่เด็กคนหนึ่งลืมตามองดูโลก แล้วเจริญเติบโตผ่านวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน เข้าสู่ช่วงเกษียณอายุพอดี ท่านเป็นศิลปินผู้เป็นที่รักของคนทั่วไปทั้งในและนอกวงการ ได้ช่วยทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์และการกุศลอย่างสม่ำเสมอยังผลให้ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักพากย์-นักแสดง) เมื่อปีที่ผ่านมา หากหม่อมหลวงรุจิราผู้ซึ่งด่วนจากท่านไปก่อน จะล่วงรู้ได้ด้วยญาณวิถีใดๆ ก็ตาม ท่านคงจะต้องรู้สึกอิ่มเอิบใจในความสำเร็จของคุณป้ามารศรีผู้เป็นที่รักของท่านด้วยอย่างแน่นอน
เมื่อตอนที่ผมเกิดนั้น คุณป้ามารศรีก็อยู่ในวัยกลางคนแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ได้มีโอกาสที่จะเห็นท่านแสดงเป็นนางเอก แต่ภาพของคุณป้ามารศรีในสายตาและความคิดของผม เป็นภาพของคุณป้าใจดีผู้มีอารมณ์แจ่มใสตลอดเวลา อาจมีบ้างที่คุณป้าได้รับบทร้ายๆ แต่มันไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ณ ส่วนใดในสมองของผมเลย ผมดูว่าท่านเป็นผู้ที่มีบุคลิกสง่างาม สมเป็น “ผู้ดี” อย่างแท้จริง ท่านจึงได้รับบทเป็นเจ้าหรือคุณหญิงคุณนายอยู่เนืองๆ และเหตุนี้เองเป็นแรงบันดาลใจให้ผมถ่ายภาพท่านออกมาในลักษณะนี้ ผมต้องการให้ภาพนี้บันทึกภาพทรงจำอันงดงามถึงคุณป้าที่ใจดีมีเมตตาท่านนี้ จึงได้ถ่ายภาพเป็นขาวดำ แล้วทำภาพให้เป็นสีซีเปียแบบโบราณนิยม โดยใช้โทนสีของภาพโดยรวมเป็นสีอ่อน หรือที่ศัพท์บัญญัติทางการถ่ายภาพของฝรั่งเรียกว่า “High Key” ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพที่มีโครงสีโดยรวมเข้ม หรือ “Low Key” ที่ผมมักจะนิยมถ่ายในงานส่วนใหญ่ของผม ภาพแบบ “High Key” นี้เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกของความสะอาด เย็น เบา นุ่มนวล และความเป็นผู้หญิง แต่ทั้งนี้มิได้หมายถึงว่าจะใช้ถ่ายภาพผู้ชายไม่ได้ ความจริงแล้วไม่มีข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ในเรื่องนี้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับมุมมองของช่างภาพแต่ละคนที่จะกำหนดแนวความคิดในงานของตนเป็นสำคัญ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจแก่ภาพ ผมได้ทำให้ส่วนล่างของเสื้อลูกไม้ที่คุณป้าแต่งตามที่ผมขอร้อง ค่อยๆ จางหายไปกับความขาวของพื้นภาพ ในการจัดแสงไฟเพื่อถ่ายภาพนี้นั้น ผมก็ได้จัดให้ไฟหลัก กับไฟเสริมมีความสว่างแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เพราะหากไฟทั้ง ๒ ดังกล่าวต่างกันมาก จะทำให้ส่วนที่เงาที่ใบหน้าของท่านเข้มเกินไป อันจะทำให้ภาพดูกระด้าง ไม่นุ่มนวลตามที่ตั้งใจจะให้เป็น ภาพที่สำเร็จออกมาก็ตรงกับความต้องการของผมพอสมควร ท่านผู้อ่านคงจะเห็นด้วยกับผมนะครับว่า ถึงแม้อีกเพียง ๒ ปี คุณป้ามารศรีก็จะอายุ ๘๐ ปีแล้ว แต่ท่านยังดูแจ่มใส ดวงตาเป็นประกายฉายแววแห่งสุขภาพที่แข็งแรงกว่าวัยจริงของท่านมากนัก เมื่อตอนที่ไปถ่ายภาพนี้ที่บ้านท่าน ผมได้เห็นภาพที่ท่านถ่ายคู่กับสามีเมื่อครั้งที่ทั้ง ๒ ท่านยังหนุ่มยังสาว จึงได้ถ่ายก๊อปปี้มาให้ดูกันเล่นๆ ด้วยครับ เห็นหน้าคุณป้ารูปนี้แล้ว ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดท่านจึงได้เป็นนางเอกยอดนิยมมาก่อน
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวของคุณป้ามารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติที่มีความเป็นศิลปินเต็มตัว ผู้ซึ่งคอลัมน์คนในภาพถ่ายขอปรบมือให้