ภาษาท่าทาง

มัดใจใครคนนั้นด้วยภาษาท่าทาง

อ๊ะๆ อย่านึกว่าแค่หน้าหล่อ พูดเพราะอย่างเดียวจะจีบสาวๆ ได้ คุณกำลังคิดผิดถนัดเพราะว่าท่าทางที่สื่อออกไปเนี่ยแหละสำคัญยิ่งนัก สัมพันธ์รักระหว่างชายหญิงนั้นความจริงใช้ภาษาท่าทางในการพัฒนาเป็นอันมากจนถึงแต่งงานออกเย้าออกเรือนก็ยังต้องใช้ภาษาท่าทางมาช่วยสื่ออยู่เสมอ

ในการใช้ภาษาท่าทางนี้อาจเริ่มจากเราได้เห็นคนที่ถูกใจ อยากรู้จัก ถ้าจะจู่โจมทันทีก็อาจจะเสียหน้า เขาอาจไม่ชอบเราเลยหรืออาจมีคู่ครองอยู่แล้ว ผลีผลามเข้าไปอาจเจอสามีเจ้าหล่อนต่อยเอาหรือโดนภรรยาเขาทักทายด้วยหลังแหวน ฉะนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือเริ่มสื่อสารจากท่าทางก่อน เพื่อเป็นการหยั่งเชิง ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ความในใจเราโดยไม่ต้องเอ่ยปากแม้แต่น้อย เริ่มแรกจากพยายามสบตาฝ่ายตรงข้ามเข้าไว้ และพยายามสบตาให้นานกว่าปรกติ เพราะคนเราเวลาแอบมองใครเมื่อเขามองตอบเราจะเลี่ยงสายตาไปทางอื่น เพราะการสบตานานเกินไปอาจหมายถึงการมองอย่างเหยียดหยาม (โดยเฉพาะผู้ชายกับผู้ชาย) ต้องการหาเรื่อง หรือมีอะไรผิดปรกติบนใบหน้าของผู้ที่ถูกมอง อาจจะเป็นคนพิการหรือเสียโฉม แต่ถ้าไม่ใช่ในกรณีเหล่านี้ การมองฝ่ายตรงข้ามนานๆอย่างจงใจจะหมายความถึง “ผม, ฉันกำลังสนใจอยากผูกมิตรกับคุณอยู่นะ” ฝ่ายตรงข้ามอาจจะเลี่ยงสายตาไปอีกทางแต่เมื่อมองกลับมาเห็นสายตาของคุณกำลัง จับจ้องเช่นเดิมเขาจะเริ่มรู้สารจากท่าทางที่คุณกำลังสื่ออยู่ เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้รับสื่อจากท่าทางของคุณแล้วเขาจะสบตาตอบพร้อมกับแสดงสี หน้าเป็นมิตร หรืออาจจะยิ้มให้เพื่อบอกว่า “ฉันได้รับสื่อของคุณแล้วอยากรู้จักคุณด้วยเช่นเดียวกัน” เมื่อจูนคลื่นกันได้แล้วก็สมควรจะรุกต่อ โดยการเดินไปเลียบเคียงๆแต่ยังไม่รุกต่อโดยการพูดจาเพราะการสื่อสารที่ผ่าน มาอาจจะยังไม่เต็มร้อย เราก็จะรุกด้วยภาษาท่าทางต่อโดยการเข้าไปนั่ง ใกล้ๆซึ่งใกล้กว่าปรกติที่บุคคลทั่วไปที่ไม่รู้จักกันจะรักษาระยะห่างไว้ เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีท่าทีป้องกันตัวโดยการรักษาระยะห่างให้มากขึ้น หรือลุกหนีไปก็แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามอนุญาตให้ความสัมพันธ์เกิดขึ้น เมื่อถึงตรงนี้แล้วก็แน่ใจได้ว่าเมื่อเอ่ยปากออกไปเพื่อเริ่มความ
สัมพันธ์คุณจะไม่เสียหน้า(แต่ต้องปากดีด้วยนะ)

เมื่อเวลาผ่านไปความสัมพันธ์ได้ก่อตัวเป็นความรัก แต่ยังไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวกันเลย เพราะยังเกรงฝ่ายตรงข้าม หรือยังให้เกียรติกันอยู่ ก็สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ดังกล่าวด้วยการสัมผัส เพราะการไม่ยอมถูกเนื้อต้องตัวกันเลยนั้นแรกๆ จะหมายถึงการให้เกียรติ แต่ถ้าคบกันนานแล้วยังไม่เคยแตะตัวกันเลยอาจหมายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่คืบหน้า หรือฝ่ายตรงข้ามอาจหมดความสนใจในตัวเรา หรืออาจเลยไปถึงการไม่อยากคบกันต่อก็เป็นได้ แต่การสัมผัสนั้นไม่ควรทำด้วยความรีบร้อน ละโมบ และไม่ควรทำด้วยความเกรงกลัว ควรเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะถ้าทำด้วยความรีบร้อน รุกเร้า และเกินเลยไปเช่นกอด หรือ จูบ จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจจนไม่ไว้ใจอีก และหากทำด้วยความเกรงกลัวก็จะทำให้อารมณ์สะดุด ขาดความโรแมนติกไป การสัมผัสเริ่มจากเวลาเดินไปไหนด้วยกัน คุณอาจจงใจให้มีการกระทบมือ กระทบไหล่อีกฝ่าย เพื่อเป็นการบอกว่าคุณต้องการถูกเนื้อต้องตัวฝ่ายตรงข้าม ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่แสดงท่าทีรังเกียจหรือบ่ายหลบ หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามยินดีที่จะมีการสัมผัสทางกาย และเมื่อฝ่ายชายเริ่มรุกโดยการสัมผัสมือก่อน (มือเป็นอวัยวะที่ไว้ต่อการสัมผัสมาก) ฝ่ายหญิงก็จะชักมือกลับ การชักมือกลับของฝ่ายหญิงนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการการสัมผัสจากฝ่ายชาย แต่ต้องการจะบอกว่า “ฉันรักงวนสงวนตัวนะ รักจริงหรือเปล่า ถ้ารักจริงต้องไม่ทอดทิ้งและดูแลอย่าให้ใจกับใครอื่น” เมื่อฝ่ายหญิงชักมือออกให้ครั้งแรกฝ่ายชายต้องสัมผัสมืออีกครั้งเพื่อยืนยัน ว่า “ผมรักคุณจริงๆ ไม่ได้แกล้งหลอก” ถ้าเห็นว่าฝ่ายหญิงนั้นเต็มใจให้สัมผัสก็หมายถึงเธอมีใจให้ แต่ถ้ายังไม่ยอมให้สัมผัสก็แสดงว่าเธอยังไม่พร้อมนั้นเอง

จะเห็นว่าภาษาท่าทางก็เป็นส่วนสำคัญในการพิชิตรัก ลองนำไปใช้ดูนะครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.