เรื่องปวดหัวสำหรับหลายๆ คนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ปวดๆ หายๆ จนไม่ค่อยสนใจจะหาสาเหตุ แต่พอเปลี่ยนบรรยากาศออกไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือหยุดงานสักวันสองวันก็หายเป็นปลิดทิ้ง การปวดหัวเป็นสัญญาณบอกเราว่าร่างกายบางส่วนของเรามีการทำงานที่บกพร่อง หรือผิดปกติขึ้น แต่ร่างกายมนุษย์ก็เป็นสิ่งอัศจรรย์ที่มีกระบวนการซ่อมแซมเยียวยาตัวเองได้ การปวดหัวหลายๆ ครั้ง จึงหายเองโดยไม่ต้องกินยา หรือหาหมอ
อาการปวดหัวไม่ได้มีสาเหตุมาจากสมองเท่านั้นเหมือนที่หลายคนคิด แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อ เส้นเลือด หรือเส้นประสาทที่อยู่รอบๆ สมอง เช่น เส้นเลือดแดงขยายตัว หรือเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้ออักเสบ
เส้นเลือดของเราจะมีเส้นเลือดเล็กๆ ฝอยๆ เป็นเส้นประสาทพันรอบเส้นเลือด เมื่อเส้นเลือดเกิดการหดหรือขยายตัว ก็จะไปยืดเส้นประสาทเหล่านั้นกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้ และนี่คือผลที่ทำให้ปวดหัว
นอกจากนี้ 95% ของอาการปวดหัวไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรค แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อม และปัจจัยต่างๆ มากกว่า เช่น ความเครียด ความเหนื่อยเพลีย หิว การเปลี่ยนระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือการเลิกคาเฟอีน เป็นต้น
ตามปกติของอาการปวดหัวของคนเราจะวนเวียนจากสาเหตุหลักๆ 3 อย่าง คือ เรื่องของความดันโลหิต ไซนัส และไมเกรน
ปวดหัวเพราะความดันโลหิต
มักจะปวดแบบเบาๆ ไปจนถึงปวดแบบไม่รุนแรงแต่ทรงๆ อยู่อย่างนั้น และปวดรอบๆ หัว หรือปวดข้ามหน้าผาก หรือหัวส่วนหลัง และอาจจะปวดอยู่นานนับชั่วโมงถ้าไม่ได้รับการรักษา และควบคุมความดัน ส่วนมากจะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่
ปวดเพราะไซนัส
ลักษณะที่ปวดคืออาจปวดไม่มาก จนถึงปานกลาง และทรงอยู่อย่างนั้น จะปวดบนดั้งจมูก หรือหลังโหนกแก้ม ซึ่งอาจจะมีน้ำมูกเหนียวข้นร่วมด้วย ไซนัสเป็นได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จะเป็นได้ง่ายกว่า เวลาปวดจะปวดได้บ่อยๆ และนานหลายชั่วโมง เป็นได้ทุกฤดูกาล
ปวดไมเกรน
ปวดแบบไมเกรนมักจะปวดแบบตุบๆ ปวดปานกลางจนถึงปวดรุนแรง อาจคลื่นไส้อาเจียนได้ และรู้สึกไวมากต่อเสียง และแสง อาจจะปวดเฉพาะบริเวณ เช่น กลางศีรษะ ปวดบริเวณตา หรือด้านหลังศีรษะ และบ่อยครั้งมักจะปวดหัวข้างเดียว อาจจะมีอาการเห็นแสงแว๊บ หรือปวดตานำมาก่อนที่จะเริ่มปวดหัว ปวดหัวไมเกรนนี้เป็นกันได้มากตั้งแต่เด็กถึงวัยกลางคน ในเด็กถ้าเป็นจะพบมากในเด็กชาย แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นกลับพบว่าเด็กสาวเป็นกันมากกว่า
เมื่อมีอาการคุณอาจจะปวดได้ทั้งวันทั้งคืน หรืออาจจะปวดบ้างช่วงที่ตั้งครรภ์ หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนวัย กระนั้นการปวดไมเกรนนี้มีด้วยกัน 2 ลักษณะการปวดหัว เรียกว่า ปวดแบบ Classic และปวดแบบนานๆ ครั้งแต่รุนแรงปวดแบบนี้เรียกว่า Cluster
ปวดแบบ Classic จะมีอาการปวดตุบๆ ที่หัวด้านใดด้านหนึ่งเสมอ อาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน ตาลายหน้ามืด ซึ่งบางคนรู้สึกเหมือนเห็นแสงระยิบเหมือนเห็น “ดาว” เป็นอาการนำมาก่อนที่จะปวดหัว อาจจะมีอาการหน้าหรือตาบวมด้วย
ปวดแบบ Cluster เป็นการปวดที่เกิดขึ้นทันใด และจะปวดเกือบตลอดคืน และจะเริ่มปวดหลังจากนอนหลับแล้วประมาณชั่วโมงสองชั่วโมง ความปวดค่อนข้างรุนแรง ลักษณะเหมือนมีอะไรทิ่มแทงอยู่ในหัว อาจพบได้เสมอว่าปวดอยู่ที่หลังดวงตาด้านหนึ่ง เพราะอาจจะมีน้ำตาและทำให้ดวงตาแดงกล่ำได้ด้วย เปลือกตาบวมปิด และอาจจะมีน้ำมูกหรือคัดรูจมูกด้านหนึ่ง
หลังจากเริ่มมีสัญญาณปวดสักพักหนึ่งแล้ว อาการปวดหัวก็จะเกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งไม่ซ้ายก็ขวา แต่จะไม่ปวดทีเดียวทั้งสองข้าง เวลาปวดขึ้นให้ลองหาที่นอนลงในห้องเงียบๆ จะรู้สึกดีขึ้น ส่วนบางคนเมื่อปวดแล้วต้องเดินไปเดินมา ความปวดนี้สาหัสนักจนบางคนอยากเอาหัวกระแทกฝาให้รู้แล้วรู้รอดไปก็มี
เหตุใดจึงปวดไมเกรน
การปวดหัวไมเกรนมาจากปัญหาของหลอดเลือด (Vascular headaches) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีเหตุมาจากเส้นเลือดในศีรษะเกิดการหดเกร็ง แล้วขยายพองออก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความปวดขึ้นจากปลายประสาท ปัจจัยส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการปวดหัวไมเกรน เช่น
- ความเครียด
- การพักผ่อนไม่เต็มที่ เช่น อดนอนบ่อยๆ หรือคนที่นอนหลับๆ ตื่นๆ เป็นประจำ
- อาหารหลายชนิด เช่น ช็อคโกแลต เนยแข็งที่เก็บนาน อาหารที่ใส่โมโนโซเดียม กลูตาเมต (ผงชูรส) และอาหารที่มีไนเตรทสูง
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวน์แดง
- การสูบบุหรี่
- การถอนคาเฟอีน หรือถอนยา(เสพติด)
- การใช้ยาบางชนิดมากเกินจำเป็น หรือยาบางชนิดที่ทำให้มีการขยายตัวของหลอดเลือดก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้
- การเปลี่ยนแปลงจากอากาศเย็นเป็นอากาศร้อน ก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน เพราะจะทำให้มีอาการหด หรือขยายตัวของเส้นเลือด
ขั้นแรกในการบรรเทาปวด
โดยทั่วไปการปวดหัวหลายอย่างเกิดขึ้นเพราะความเครียด ความเหนื่อยเพลีย หรืออดอาหารก็ทำให้ปวดหัวได้ บางครั้งถ้าได้พักผ่อน ผ่อนคลายหรือกินอาหารให้พอ ก็จะรู้สึกดีขึ้น บางทีอาจใช้ยาบรรเทาปวดร่วมด้วยที่รู้จักกันดี เช่น
Acetaminophen เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ถ้าใช้ในปริมาณที่กำหนด แต่ข้อควรระวังคืออย่าดื่มแอลกอฮอล์เมื่อใช้ยานี้ เพราะเป็นอันตรายต่อตับอาจทำให้ล้มเหลวได้ ถ้าคุณเป็นคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ มากกว่า 3 แก้วต่อวัน คุณไม่ควรใช้ยาชนิดนี้
Aspirin เป็นยาระงับปวดที่อาจใช้ป้องกันไมเกรนได้ด้วย ถ้ากินเป็นประจำ แต่ในระยะยาวทำลายไตได้ และทำให้ระบบย่อยอาหารมีปัญหาได้เหมือนกัน เช่น ปวดกระเพาะอาหาร ใจสั่น มีเลือดออกในกระเพาะได้ ควรหลีกเลี่ยงแอสไพรินในคนที่เป็นแผลในกระเพาะ แต่สำหรับคนปกติถือเป็นยาที่ดีและปลอดภัยในระดับหนึ่ง
NSAIDs รวมถึง บูโปรเฟน นาโพรเซน และคีโตโปรเฟน ที่สามารถระงับความปวดได้ดีบางคนใช้สำหรับป้องกันไมเกรน แต่ในระยะยาวจะมีผลข้างเคียงเหมือนแอสไพริน
อย่างไรก็ตามการใช้ยาเหล่านี้ไม่ได้เป็นการรักษาแต่เป็นเพียงการระงับความปวด ซึ่งหากใช้ในระยะยาว มันอาจดื้อยาจนคุณอาจต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น และที่สำคัญในคนที่ปวดมากๆ ขนาดอาเจียน ยิ่งควรรักษาให้ถูกทางกับแพทย์ดีกว่า
สัญญาณอันตราย
ถ้าคุณมีอาการปวดหัวอย่างแรงร่วมกับอาการพูดไม่ค่อยออก หรือพูดไม่ชัด หน้ามืด วิงเวียน เป็นลม หรือเกิดอาการอ่อนแรงที่แขน และขา เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง
Tips สำหรับการดูแลตัวเอง
ขั้นแรกถ้ารู้สึกปวดให้ใช้น้ำแข็งประคบจะช่วยบรรเทาปวดได้มากหรือ ใช้ยาระงับปวด
แต่ไม่ว่าจะใช้ยาอะไรก็ควรใช้อย่างระมัดระวังที่ดีควรใช้ยาตามแพทย์สั่ง
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตาก็ตามก็ไม่ควรนอนมากเกินไป
เมื่อเกิดอาการปวดหัว ลองปลีกตัวไปหาที่เงียบสงบ ห้องมืด แล้วนอนพักสักครู่ คุณก็จะรู้สึกดีขึ้น
หลีกเลี่ยงช็อคโกแลต ชีส ไวน์ อาหารปรุงแต่งต่างๆ เช่น อาหารที่มีไนเตรท หรือผงชูรสมากๆ เพราะจะทำให้อาการปวดเพิ่มมากขึ้น
ดื่มน้ำเปล่า เลี่ยงแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพื่อเลี่ยงชนวนที่ก่อให้ปวดหัว
Image by Usman Yousaf from Pixabay