โดย นิติกร กรัยวิเชียร
ที่มา สกุลไทย ฉบับที่ 2478 ปีที่ 48 ประจำวันอังคารที่ 16 เมษายน 2545
เพียงท่านผู้อ่านเห็นภาพท่านที่ผมนำมาเสนอในฉบับนี้ ผมก็แทบไม่ต้องสาธยายอะไรมากมาย เพราะท่านผู้ว่าฯ สมัคร สุนทรเวช ท่านนี้ เป็นนักการเมืองอาวุโสผู้เป็นที่รู้จักของคนไทยมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ในฐานะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัยของกรุงเทพมหานคร เคยดำรงรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายกระทรวง และในปัจจุบันก็ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ วิถีชีวิตของท่านมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร ขอเชิญติดตามได้เลยครับ
คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นคนกรุงเทพมหานครโดยกำเนิด ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๘ ปัจจุบันอายุ ๖๗ ปี เป็นบุตรคนที่ ๗ จากจำนวน ๙ คน ของ เสวกเอกพระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) และ คุณหญิงบำรุงราชบริพาร (อำพัน-สกุลเดิม จิตรกร) ในวัยเด็กได้เริ่มเข้าเรียนหนังสือชั้นก่อนประถมที่โรงเรียนสตรีบางขุนพรหม จากนั้นได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเทเวศร์ศึกษาจนจบระดับประถมศึกษา แล้วไปเรียนต่อในระดับมัธยมที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และระดับอาชีวะที่โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ก่อนที่จะเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีทางด้านกฎหมายที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามลำดับ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่นั้น ท่านก็ได้ทำงานพิเศษนอกเวลาเป็นมัคคุเทศก์อยู่ราว ๑ ปี หลังจากที่สำเร็จการศึกษา เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๐๗ แล้ว ก็ได้งานเป็นผู้จัดการแผนกอะไหล่บริษัทขายรถยนต์และรถแทรกเตอร์ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๐๙ ก็ได้เดินทางไปเรียนต่อทางด้านบัญชีและบริหารธุรกิจที่มลรัฐชิคาโก สหรัฐอเมริกา จากนั้นท่านก็ได้กลับมาทำงานในบริษัทห้างร้านและหน่วยงานหลายแห่ง และหลายอาชีพ นับตั้งแต่พนักงานสอนเรื่องลงบัญชีไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ออกของที่ท่าเรือและศุลกากร (ชิปปิ้ง) เสมียนแผนกรถยนต์ ผู้จัดการแผนกอะไหล่รถยนต์ ผู้บริหารฝ่ายขาย เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์เป็นต้น
เส้นทางทางการเมืองของ คุณสมัคร สุนทรเวช นั้น เริ่มขึ้นเมื่อท่านได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี ๒๕๑๑ และได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เมื่อปี ๒๕๑๔ ครั้นถึงปี ๒๕๑๖ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี ๒๕๑๘ ท่านก็ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรกในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้ลาออกมาตั้งพรรคการเมืองขอท่านเองในนามพรรค “ประชากรไทย” เมื่อปี ๒๕๒๒ ซึ่งท่านก็สามารถนำพรรคประชากรไทยคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งของสนามกรุงเทพมหานครได้อย่างงดงาม และแม้ว่าในเวลาต่อมาความนิยมในพรรคประชากรไทยของคนกรุงเทพฯจะลดลง แต่ คุณสมัคร สุนทรเวช ก็ยังคงได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.แบบผูกขาดของเขตดุสิตมาทุกสมัย ชนิดที่ไม่เคยมีใครล้มได้
สำหรับตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองนั้น คุณสมัคร สุนทรเวช เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ดังนี้
- รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
- รองนายกรัฐมนตรี
- ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ตลอดระยะเวลาที่ได้ทำงานในฝ่ายบริหาร คุณสมัคร สุนทรเวช ได้สร้างผลงานฝากไว้มากมาย ทั้งยังผู้ที่นำเสนอแนวความคิดใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศอย่างสม่ำเสมอ จนเคยได้รับฉายาในเชิงค่อนแคะจากสื่อมวลชนว่าเป็น “เซลส์แมนฝันเฟื่อง” แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป โครงการต่างๆ หลายอย่างอันเกิดจากแนวความคิดของท่านซึ่งเคยถูกเย้ยหยันในอดีต กลับได้รับการนำมาทำจริงในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดความเจริญต่อประเทศชาติมากมาย ส่วนบทบาทในการเป็นฝ่ายค้านนั้น คุณสมัครก็เป็นผู้ที่รอบรู้ในทุกๆ ด้าน มีความแม่นยำในข้อมูลสูง และมีลีลาในการอภิปรายที่โดดเด่นล้วงลึกถึงลูกถึงคน ทำให้เป็นฝ่ายค้านที่รัฐบาลทุกยุคสมัยยำเกรง ภายหลังจากที่ได้ผ่านเวทีการเมืองสนามใหญ่มาเป็นเวลานานปี แนวโน้มของการเมืองไทยก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก การที่จะสร้างพรรคการเมืองให้มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะมีบทบาทสำคัญในรัฐสภาได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ มากมาย ยากที่พรรคประชากรไทยของท่านจะเติบโตต่อไปได้ดังอดีต ประกอบกับมีเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ จำนวนมาก คุณสมัคร สุนทรเวช จึงได้เบนเข็มมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งท่านก็ได้รับการต้อนรับจากคนกรุงเทพฯด้วยคะแนนท่วมท้นสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ด้วยความที่ คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นนักการเมืองที่มีบุคลิกลักษณะจริงใจ ตรงไปตรงมา คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น และเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านคิดว่าถูกต้อง บางครั้งภาพพจน์ของท่านจึงถูกมองว่าเป็นคนโผงผางก้าวร้าว จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องมีทั้งคนรักและชังฝ่ายละมากๆ แต่สิ่งที่ท่านได้พิสูจน์ตนเองให้สาธารณชนประจักษ์มาโดยตลอดก็คือความเป็นผู้ที่มั่นคงในอุดมการณ์ของตนเองโดยไม่หวั่นไหวหรือโอนเอนไปตามกระแสสังคมที่ท่านไม่เห็นด้วยแม้ว่าจะทราบดีว่าสิ่งนี้จะทำให้ท่านต้องเสียคะแนนนิยมก็ตาม และคงจะเป็นสิ่งนี้เองกระมังที่ทำให้ท่านคงความเป็นนักการเมืองยอดนิยมตลอดกาลที่อยู่ในดวงใจของคนกรุงเทพฯที่รักท่านจำนวนมหาศาลอย่างไม่เคยเสื่อมคลาย