ต้องใช้เวลานานเท่าใด ถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้
PRACTICE MAKES PERFECT.
คุณมีเพื่อนที่ไปเรียนหนังสือต่างประเทศบ้างหรือไม่? คุณมีคนรู้จักที่ไปทำงานต่างประเทศบ้างหรือไม่? ถ้ามี คุณเคยถามเขา หรือเธอบ้างไหมว่า
หลังจากไปเรียน หรือทำงานที่อังกฤษ หรืออเมริกาแล้ว ต้องใช้เวลากี่วันนับจากวันที่ไปถึงวันแรกจนถึงวันที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง?”
คำถามนี้ไม่ค่อยมีใครถามกัน คนส่วนมากจะรู้เพียงว่าคนคนนี้ไปอยู่ต่างประเทศมาจึงเก่งภาษาอังกฤษ แค่นั้น ถ้าถาม คำตอบที่จะได้รับก็คือประสบการณ์จริงของผู้ถูกถาม จากการวบรวมข้อมูลจากคนหลายคนที่มีประสบการณ์ดังกล่าว คำตอบที่ได้ก็คือ
หลังจากไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ไปนั่งเรียนในห้องเรียนแล้ว หรือไปทำงานยังต่างประเทศแล้วนั้น ต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 เดือนโดยเฉลี่ยคนส่วนใหญ่ถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง
แล้วช่วงเดือน สองเดือนแรกทำอะไรอยู่?
แรกสุดที่ไปถึงนั้นเขาหรือเธอจะเก็บประสบการณ์ด้วยการนั่งนิ่ง ฟัง คนที่อยู่รอบข้าง พูด จนกระทั่งมั่นใจแล้วจึงค่อยกล้าพูด แรกๆ พูดยังไม่คล่อง และเมื่อพูดบ่อยขึ้น ความคล่องก็มีมากขึ้นเป็นสัดส่วนกันไป”
เรามาดูกันว่าช่วง 3 เดือนนั้นคือเวลากี่ชั่วโมง? สมมติว่าบุคคลนั้นไปเรียน หรือทำงานวันละ 8 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 7 วัน เดือนละ 30 วัน 3 เดือนก็เท่ากับ 720 ชั่วโมง คุณรู้ไหม?
ต้องใช้เวลาถึง 720 ชั่วโมงอยู่ที่อเมริกา คนไทยโดยส่วนใหญที่ไปอยู่ที่นั่นถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง
นี่คือความจริง กลับมามองพวกเราที่อยู่ในเมืองไทย เรียนหนังสือในเมืองไทย ไม่มีโอกาสได้อยู่กับฝรั่งวันละ 8 ชั่วโมงเหมือนพวกเขาเหล่านั้น คุณคิดว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เราถึงจะพูดภาษาอังกฤษกันได้คล่อง แล้วโรงเรียนกวดวิชามากมายในบ้านเราที่โฆษณากันว่า เก่งภาษาอังกฤษภายใน 30 ชั่วโมง เหล่านั้นล่ะ เมื่อเทียบกันแล้วเกือบจะกลายเป็นของเด็กเล่นไปเลยเมื่อเทียบชั่วโมงอันน้อยนิดนั้นกับ 720 ชั่วโมงดังกล่าว
ปรกติแล้ววิชาภาษาอังกฤษในบ้านเราจะสอนกันประมาณอาทิตย์ละ 2 – 4 ชั่วโมง เดือนละ 8 – 16 ชั่วโมง เทอมละ 24 – 48 ชั่วโมง เท่ากับปีละ 48 – 96 ชั่วโมง ซึ่งไม่พอ ต่อให้เพิ่มชั่วโมงขึ้นมาอีกเป็นอาทิตย์ละ 6 ชั่วโมง หรือปีละ 144 ชั่วโมง ก็ยังถือว่าน้อยเกินไป วิธีการที่ดีที่สุดคือ
ให้นักเรียนมีชั่วโมงอยู่กับภาษาอังกฤษให้มากที่สุด ในระยะเวลาเวลาที่สั้นที่สุดให้ได้ เช่น (1) ทางโรงเรียนอาจจัดให้ปีใดปีหนึ่งของชั้นเรียนให้เป็น ปีที่ต้อง *ฝึก* ภาษาอังกฤษกันอย่างหนักทั้งปี (นักเรียนควรอยู่ประมาณ ม.4 หรือ ม5 ขึ้นไป หรือถ้าให้ดีที่สุุดควรเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษจริงๆ) โดยให้นักเรียน *ฝึก* ภาษาอังกฤษวันละ 2 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 10 ชั่วโมง เดือนละ 40 ชั่วโมง เทอมละ 120 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับปีละ 240 ชั่วโมง ถ้าโรงเรียนไหนทำได้อย่างนี้แล้ว รับประกันว่าภายใน 1 ปี นักเรียนของโรงเรียนนั้นใช้ภาษาอังกฤษได้แน่นอน หรือถ้าหาก 2 เทอมมากไปก็อาจเปลี่ยนเป็น (2) ฝึกวันละ 4 ขั่วโมง อาทิตย์ละ 20 ชั่วโมง เดือนละ 60 ชั่วโมง เทอมละ 240 ชั่วโมง แบบนี้ยิ่งดีกว่า และ (3) ถ้าหากคุณเป็นคนที่ยังว่างงานอยู่ล่ะ หรือนักเรียนนักศึกษาในช่วงปิดเทอม ตอนนี้คือโอกาสที่ดีมากสำหรับเรา ที่จะสามารถพัฒนาศักยภาพทางด้านภาษาให้ขึ้นถึงขีดสุดได้อย่างรวดเร็ว การฝึกภาษาอังกฤษวันละ 8 ชั่วโมง เป็นสิ่งที่น่าทำอย่างยิ่ง เพราะภายในเวลาแค่ 1 เดือน คุณจะสามารถทำได้ 240 ชั่วโมง ครบชั่วโมงประเมินเบื้องต้นที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้แน่นอน
การมุมานะ เอาจริงเอาจัง คร่ำเคร่ง กับภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่น่าทำอย่างยิ่ง เพราะถ้าเราไม่ทำ การเรียนภาษาอังกฤษที่เรียนกันมาแล้วนับแล้วเป็นสิบปีในโรงเรียนก็ไร้ประโยชน์ เพราะความรู้ที่ได้รับมานั้นยังเอาไปใช้ไม่ได้ ถ้าไม่ฝึกใช้มัน
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นคือเรื่องจริง เราสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนว่า ทำไม นักเรียนไทยในปัจจุบันถึงใช้ภาษาอังกฤษกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่พวกเราเรียนภาษาอังกฤษกันมาตั้งแต่เด็ก ครูอาจารย์ที่สอนกันอยู่นั้น ต่างก็เป็นบุคคลระดับหัวกระทิ มีดีกรีมาจากเมืองนอกกันเป็นส่วนใหญ่ทั้งนั้น สมควรหรือยังที่เราต้องเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษกันเสียที
เมื่อการใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ จริง เป็นเรื่องยากขนาดนี้ แล้วคนที่เก่งภาษาอังกฤษที่เรารู้จักล่ะ ที่เห็นตามทีวี ที่เป็นคนดัง และใครต่อใครที่เราพบเจอ หรือที่มีคนกล่าวขานกันว่าเก่งภาษาอังกฤษมากนั้น พวกเขาเป็นใครกัน?
(ย้ำ) เขาเหล่านั้นเป็นใคร? คุณลองมองออกไปรอบๆ ตัวคุณดูสิ ใครบ้างที่เก่งภาษาอังกฤษ? ใช่คนเหล่านี้หรือไม่?
|
|
แน่นอน คนที่เก่งภาษาอังกฤษต้องอยู่ในกลุ่มทั้ง 9 นี้ ถ้าคุณไม่ใช่คนในกลุ่มนี้ แสดงว่าคุณไม่เก่งภาษาอังกฤษแน่นอน และถ้าคุณต้องการจะเข้ากลุ่ม ก็เป็นที่แน่ชัดว่า กลุ่มที่เข้าง่ายที่สุดคือกลุ่มที่ 9 รองลงมาคือกลุ่มที่ 8, 7 และ 6 เรื่อยไปตามลำดับ ส่วนกลุ่มที่ 1 และ 2 ไม่ขอแนะนำเพราะอะไรก็คงจะรู้กันอยู่
เมื่อคุณตกลงใจที่จะเก่งภาษาอังกฤษ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือลงมือจัดการกับภาษาอังกฤษด้วยการฝึกใช้มัน การฝึกใช้ภาษาอังกฤษก็เหมือนกับการฝึกเล่นบาสเก็ตบอล การฝึกบาสเก็ตบอลนั้นง่ายมาก เราทุกคนรู้กันหมดว่าต้องทำอย่างไร นั่นคืออันดับแรกคุณต้องโยนลูกบาสลงห่วงให้ได้ ง่ายไหมครับ? แค่โยนลูกบาสลงห่วง ใครๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าคุณไม่ใช่นักบาส และเป้าหมายของการโยนคือให้โยนลูกลงห่วงให้ได้ 98 ลูกจาก 100 ลูกล่ะ คุณคิดว่าคุณทำได้ไหม? ถ้าทำได้คุณคิดว่าคุณต้องใช้เวลาฝึกกี่วัน สมมติว่าคุณใช้เวลา 2 เดือนฝึกโยนลูกลงห่วงจนได้ 98% ตามเป้าหมาย แสดงว่าทุกเย็นภายใน 2 เดือนนั้นคุณแทบไม่ได้ฝึกอย่างอื่นเลยนอกจากตกเย็นมาก็ไปยืนใต้แป้น แล้วก็โยนลูกบาสใส่ห่วงวันละเป็นชั่วโมงๆ วันแรกๆ คุณต้องโยนลงบ้าง ไม่ลงบ้างแน่นอน เมื่อฝึกทุกวัน บ่อยขึ้น บ่อยขึ้น ความแม่นยำของคุณก็ต้องมีมากขึ้น ซึ่งถ้านับแล้วคุณอาจต้องซ้อมโยนลูกใส่ห่วงถึงวันละ 300 – 400 ลูก หรือโยนลูกมาแล้วไม่ต่ำกว่าละ 18,000 – 24,000 ลูก แน่นอน นี่คือหลักการง่ายๆ ของวิชาฝึกทักษะ
กลับมาดูที่ภาษาอังกฤษ ถ้าเป้าหมายของคุณคือต้องการมีศัพท์พื้นฐานสัก 3,000 คำ และอ่าน กับพูดภาษาอังกฤษให้คล่อง สิ่งแรกที่คุณต้องทำคืออะไร? แรกสุดคือคุณต้องท่องศัพท์ ตามมาด้วยหัดอ่านหนังสือ และหัดพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งตามคลิบ ทุกวันวันละเป็นชั่วโมงๆ ติดต่อกันเป็นเดือนๆ จนสะสมชั่วโมงได้เป็นร้อยๆ ชั่วโมง รับประกันว่าทักษะการใช้งานภาษาอังกฤษของคุณต้องดีขึ้นแน่นอน เพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษนี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่คุณสามารถทำได้ ถ้าคุณไม่มีชั่วโมงการฟังมาเป็นร้อยๆ ชั่วโมง ก็เชื่อได้เลยว่าหูคุณไม่คมพอที่จะฟังฝรั่งพ่นกันเร็วจี๋บนข่าว CNN ได้ ถ้าคุณไม่หัดออกเสียง ไม่ยอมอ้าปากพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยตัวของคุณเองเป็นร้อยๆ ชั่วโมง ก็เชื่อได้เลยว่าคุณพูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องแน่นอน ลิ้นคุณจะแข็ง คุณจะออกเสียงติดๆ ขัดๆ และสุดท้ายถ้าคุณไม่มีศัพท์พื้นฐานสัก 2 หรือ 3,000 คำล่ะก็รับรองได้ว่าคุณอ่านภาษาอังกฤษไม่สนุกแน่นอน
นี่คือความจริง ตรงไปตรงมา ผมเชื่อว่ามีพวกเราหลายคนพยายามไปเรียนภาษาอังกฤษจากโรงเรียนต่างๆ มามากมายบางคนเรียนด้วยการไปนั่งฟังอาจารย์บรรยายถึงประสบการณ์จากต่างประเทศให้ฟัง บางที่มีฝรั่งออกมาสอนพูด 10 ประโยค 20 ประโยคต่อวัน บางที่ก็เอาข้อสอบมากางเฉลยอธิบายกันจนทำข้อสอบได้เก่ง สิ่งเหล่านี้นั้นไม่ใช่ว่าไม่ดี การเรียนการสอนอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่า
วิธีการแบบอ้อมไปอ้อมมา ไม่ยอมเจาะเข้าไปถึงหัวใจการใช้งานจริงๆ
เหล่านั้นกว่าจะเห็นผลงอกงามออกมาเห็นทักษะที่ใช้งานได้จริงต้องใช้เวลานานมาก ไม่ทันการ
ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องเอาจริงเอาจังกับการเรียนภาษาอังกฤษกันเสียที? คำตอบอยู่ที่ตัวของคุณเอง