ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่บ่อนทำลายศักยภาพทางสมองของเด็กเยาวชน ในการจัดการปัญหาและพัฒนาเด็กเยาวชนจึงจำเป็นต้องมีความรอบรู้ในเรื่อง ฤทธิ์ทางเภสัชของยาเสพติดที่มีผลต่อการทำงานของสมอง
การรู้โครงสร้างและกลไกการทำงานของสมองที่ถูกกระทบด้วยยาเสพติด จะช่วยทำให้เข้าใจปัญหาของวัยรุ่นที่ใช้ยาสเพติดได้มากขึ้น การที่เด็กติดยาเสพติดไปบำบัดรักษาแล้วกลับมาติดยาเสพติดอีกมักจะถูกมองว่าเด็กสันดานไม่ดี
แต่หากเข้าใจเรื่องกลไกสมองกับการติดยาเสพติดก็จะทราบว่า การบำบัดรักษายาเสพติด มิใช่นำยาออกจากเด็ก หรือนำเด็กออกจากยาเท่านั้น แต่ต้องเป็นเรื่องที่ต้องฝึกให้กลไกสมองกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเสพติด
สมอง เป็นศูนย์กลางบัญชาการสั่งงานให้อวัยวะของร่างกายเคลื่อนไหว ทำงานตามสมองคิดขึ้นได้ ดังนั้นสมองจึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดของมนุษย์ ธรรมชาติจึงกำหนดให้สมองอยู่ในตำแหน่งบนสูงสุด
ของร่างกาย และมีกระดูกที่เรียกว่า กะโหลกศีรษะห่อหุ้มไว้อย่างแข็งแรง เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อสมองได้
สมองทำงานอย่างไร
สมองมีกลไกและวิธีการทำงานที่สลับซับซ้อน ละเอียดอ่อน และมหัศจรรย์มาก ดังที่สำนักงาน ป.ป.ส. ภาคเหนือ (2544 ) ได้ผลิตสื่อ วี ซี ดี. นำเสนอสาระกลไกสมองกับการติดยาเสพติดว่า ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีมากขึ้น
จึงสามารถคิดค้นประดิษฐ์เครื่องตรวจสมองขึ้นได้ (สำนักงาน ป.ป.ส. ภาคเหนือ.2544 ) โดยอาศัยอนุภาคโพซิตรอนหรือเรียกว่าเครื่อง Positron – Emission Tomography มีชื่อย่อ ๆ ว่า PET (เพ็ท) เป็นเครื่องมือที่ทำให้เรามองเห็นการทำงานของสมองมนุษย์ได้(ปรียา กุลวณิชย์.2541 :น.56-57)
PET สามารถถ่ายภาพลักษณะของสมอง คนที่อยู่ในอารมณ์ต่างๆ ได้ ทำให้ทราบว่าสภาพสมองจะมีลักษณะที่แตกต่างกันระหว่างที่มีอารมณ์โกรธ เศร้า สุขใจ หวาดกลัว และสามารถมองเห็นความผิดปกติของสมอง ซึ่งถูกทำลายเพราะการเสพยาเสพติดได้ด้วย
ยาเสพติดทำลายสมองอย่างไร
โดยปกติในสมอง จะมีสารเคมีประเภทเอนดอร์ฟีน (Endophine) โดปามีน (Dopamine) นอร์แอดรีนาลีน (Noradrenaline) ฯลฯ หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อใต้สมอง กลุ่มสารเคมีเหล่านี้จะทำให้จิตใจเบิกบาน แจ่มใส ทำให้มีความสุข
เกิดความสมดุลทางเคมีในร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ มีกำลังวังชา โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นได้ยาก จึงมีผู้เรียกสารเคมีกลุ่มนี้ว่า “สารสุข”
สารเหล่านี้จะหลั่งต่อเมื่อบุคคลนั้นได้ออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา หรือ มีสภาพจิตใจที่สงบจากการทำสมาธิ การทำละหมาด หรือสวดมนต์ ระลึกถึงพระเจ้า คือมีอารมณ์เดียวหรือมีความรู้สึกปีติ ยินดี กับความสำเร็จของตนเองหรือของผู้อื่น ไม่อิจฉา ริษยา ไม่เร่าร้อน ไม่เคียดแค้นชิงชัง
แต่มีความคิดในทางบวก หรือ Positive thinking ด้วยวิธีการเหล่านี้ จะทำให้ “สารสุข” หลั่งออกจากต่อมไร้ท่อใต้สมอง และไหลเวียน เข้า – ออก ระหว่างปลายเซลล์ประสาทอยู่ตลอดเวลา
ในทางตรงกันข้าม หากบุคคลใดมีอารมณ์หงุดหงิด หมกมุ่น คิดไม่ตก ว้าวุ่นใจ จิตไม่สงบ เคียดแค้น ชิงชัง โมโหโทโส ก็จะทำให้สารเคมีประเภทเอนดอร์ฟีน หรือ “สารสุข” ไม่หลั่ง ทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ หรือเกิดความทุกข์ นั่นเอง
จากการตรวจสอบโดยเครื่องตรวจสมองหรือ PET นั้นพบว่า ผู้ที่ใช้ยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้านั้น ฤทธิ์ของยาบ้าจะไปกระตุ้นให้สารเคมีประเภทเอนดอร์ฟีน หรือสารสุขนั้นทะลักหลั่งออกมาจำนวนมาก แต่ไม่มีการไหลเวียน เข้า – ออก ระหว่างเซลล์ประสาท จึงทำให้เซลล์สมองแห้ง ฝ่อ เป็นการทำลาย เซลล์สมองโดยตรง เกิดอาการบ้า คลั่ง วิกลจริต ดังที่ปรากฏตามข่าวที่สื่อมวลชนได้เผยแพร่อยู่ไม่เว้นแต่ละวัน